Skip to main content

Post#3-43: To live a life of purpose

Post#3-43:
ค่ำวันนี้ ผมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดกับรุ่นน้องคนหนึ่ง ถึงการวางเป้าหมายให้กับชีวิต

ใครที่ตามอ่าน Post ของผมมาตลอด จะทราบดีว่า เรื่องเป้าหมายเป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญอยู่เสมอ

ผมชอบเวลาที่คุยกับใครก็ตามเรื่องเป้าหมาย เพราะผมชอบที่จะได้ฟัง Passion ของเค้า และได้ฟัง Roadmap ว่าเค้าจะไปถึงเป้าหมายได้ยังไง

...

เท่าที่ได้เคยแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับเป้าหมายของชีวิตกับน้องๆ หลายๆ คน...ผมพบว่า ปัญหาที่น้องๆ เจอ แยกกว้างๆ ได้ 2 ประเด็น

หนึ่ง...คือหาเป้าหมายในชีวิตไม่เจอ หรือไม่ก็...พอมีเป้าหมาย แต่เป็นเป้าหมายที่เรารู้จักในนามของ "ความฝัน"

และสอง...คือมีเป้าหมายที่ชัดเจน หรือค่อนข้างชัดเจน แต่ยังนึกเส้นทางไม่ออกว่า จะเดินทางไปถึงเป้าหมายได้ยังไง

...

ถ้าเป็นปัญหาแรก...ใครก็ช่วยเราไม่ได้ครับ เพราะเราเท่านั้นที่ต้องบอกตัวเองว่า เราต้องการอะไร...

ผมฝากข้อคิดไว้เพียงสั้นๆ ว่า ชีวิตไม่ใช่อาหารมื้อกลางวัน ที่จะตอบว่า "อะไรก็ได้" นะ

ส่วนถ้าเป็นปัญหาข้อสอง...อย่ามัวไปถามใครก็ตาม ว่าผม/หนู ทำแบบนั้นดีมั๊ย หรือทำอย่างนี้ถูกมั๊ย อยู่เลยครับ...

เพราะไม่ว่า Guru ที่เรากำลังจะคุยด้วย จะเก่งมาจากไหน...เค้าก็ไม่ใช่เรา ดังนั้นเค้าจึงตอบโจทย์ชีวิตแทนเราไม่ได้

ผมเสนอว่า เราลองเปลี่ยนคำถามใหม่ ว่า "ถ้า ผม/หนู ทำแบบนี้ เราอาจจะเจอผลลัพธ์แบบไหนได้บ้าง?" จะดีกว่ามั๊ยครับ?

...

ผมเคยแชร์ไว้นานมากแล้วว่า ชีวิตที่ขาดเป้าหมาย คือชีวิตที่แย่ที่สุด (Post#231) และผมก็ยังยืนยันความคิดนั้นอยู่เช่นเดิม

หากขาดเจตน์จำนงค์และเป้าหมาย...มนุษย์เราก็คงไม่ต่างจากสัตว์โลกธรรมดาทั่วไป หรือคงไม่ต่างจากตุ๊กตาไขลาน ที่เต้นไปเรื่อยๆ รอวันที่ลานหมดเท่านั้น

ลองคิดตามวาทะนี้ดูครับ...

"The purpose of life is to live a life of purpose."

แปลว่า "เป้าหมายของชีวิต ก็คือการใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย"

ส่วนพวกที่เห็นว่าตัวเองเป็นพวก "ตั้งเป้าหมายว่าจะไม่มีเป้าหมาย" นั้น...เชิญตามสบายครับ

#แล้วแต่เลย

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...