Skip to main content

Post#3-44: มาสาย...เพราะรถติด

Post#3-44:
เป็นที่รู้กันดีว่า การจราจรในกรุงเทพฯ นั้น เข้าขั้นแย่ติดอันดับโลก...เรียกว่าเบียดกันเป็นที่หนึ่งที่สองกับกรุงจาการ์ตาเลยทีเดียวครับ

ก็ในเมื่อรู้ว่าการจราจรในเมืองหลวงของเรานั้น ออกจะแย่เอามากๆ...เราจึงต้องใส่ใจกับเรื่องการวางแผนในการเดินทางเป็นอย่างดี

สำหรับผมแล้ว คำแก้ตัวหรือแก้ต่าง ว่า "รถติด" นั้น ถือเป็นเหตุผลที่แสดงถึงวุฒิภาวะของผู้ตอบได้มากพอควร

...

ความจริงผมก็ไม่ได้ต้องการจะเอาเป็นเอาตายกับเรื่องเวลานัด จนขนาดรอไม่เป็นหรือยืดหยุ่นไม่ได้ หรอกนะครับ

แต่กับเพื่อนที่นัดไม่เคยเป็นนัด เรียกว่านัดที่ไร สายมากกว่าตรงเวลานี่ บ่อยครั้งเข้า ผมเองก็ไม่ไว้หน้าเหมือนกัน

ออกตัวแบบนี้ ใช่ว่าผมจะไม่เคยสายนะครับ แต่จำนวนครั้งการสายของผม ต้องเรียกว่า นับครั้งได้ และไม่ค่อยจะเกิดจากเหตุ "รถติด" แต่มักจะเพราะ "หลงทาง" หรือ "ประชุมติดพัน" เสียมากกว่า

ดังนั้น ถ้าใครจะอ้างเหตุว่า "รถติด" ผมก็มักจะย้อนถามว่า ออกมากี่โมง แล้วดูเวลาบ้างมั๊ย?

ไอ้ประเภทนัด 4 โมง แต่ออกจากบ้านตอน 3 โมง 50 แล้วดันมาอ้างว่า "รถติด" นี่, ขออภัยที่ต้องตำหนิว่า นอกจากหน้าด้านแล้ว ยังขายความโง่ในการขาดการวางแผนของตัวเองด้วย

...

เราเคยคุยกันไว้หลายครั้ง ว่าเรื่องการตรงต่อเวลานี่ ถือเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของการทำธุรกิจเลยก็ว่าได้

ดังนั้น หากเวลายังรักษาไม่ได้ ลูกค้าหรือคู่ค้า ก็จะมองว่า เรื่องของการรักษาสัญญาข้ออื่นๆ เราก็น่าจะบกพร่องด้วย

บ่นมาเสียมาก...งั้นลองมาดูข้อปฏิบัติเมื่อรู้ว่าจะต้องไปสายเวลาจะไปพบลูกค้าบ้าง ดีมั๊ยครับ?

ออกตัวก่อนว่า นี่ไม่ใช่สูตรสำเร็จ แต่เป็นสิ่งที่ผมเลือกที่จะทำ...หากว่าต้องสาย

1.เป็น "สำนึก" ที่จะต้องแจ้งให้อีกฝ่ายทราบ หากว่าเราจะมาสาย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม และอย่าลืมว่า เหตุผลว่า "รถติด" ไม่ใช่เหตุผลที่ดี เว้นแต่มันจะเป็นการติดแบบวินาศสันตะโร และเราไม่สามารถเปลี่ยนวิธีเดินทางได้เลย

2.คอย update ให้อีกฝ่ายทราบเป็นระยะๆ ว่าเราอยู่ตรงไหน ใช้เวลานานเท่าไร จึงจะไปถึง เพื่อที่ว่าอีกฝ่ายจะได้วางแผนชีวิตถูก และคนอื่นเค้าก็มีธุระยุ่งเหมือนกัน

3.เมื่อไปถึง ควรอย่างยิ่งที่จะต้องเอ่ยปาก "ขอโทษ" พร้อมสีหน้าและอากัปกิริยาที่แสดงออกถึงความสำนึกผิดบ้าง ไม่ใช่มาแบบทางไม่รู้ร้อนและสีหน้าแบบ "สาย...แล้วไง"

...

ฝากไว้ให้คิด...สำหรับคนที่ยังมีวุฒิภาวะไม่เพียงพอ หรือยังขาดสำนึกแห่ง "การตรงต่อเวลา" ครับ

เป็นคนดัง...ไม่ได้แปลว่า มาสายได้, เป็นผู้มีอาวุโส...ไม่ได้แปลว่า ทุกคนต้องมารอ, เป็นเด็กที่พึ่งจะรู้เดียงสา...ไม่ได้แปลว่า ทุกคนต้องคอยให้อภัย

เมื่อเวลาเป็นมาตรวัดที่ไม่ subjective ดังนั้น ทุกคนจึงต้องให้ความเคารพกับสิ่งที่ทุกคนตั้งเป็นบรรทัดฐานร่วมกันครับ

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...