Post#3-28:
เค้าว่ากันว่า ชีวิตของคนตลก มักจะไม่ตลก...ผมเองก็ไม่ทราบว่า ข้อความนี้ ถูกต้องเป็นจริงเพียงใดนะครับ?
แต่เท่าที่ผมเคยได้เห็นและได้ยินมาบ้าง...ก็ต้องยอมรับว่า มีส่วนจริง แต่คงไม่ใช่กับคนตลกทุกคนแน่ๆ
ความจริงผมต้องบอกว่า คนที่ตลกกับชีวิตได้ แม้ในยามที่เค้าเจอวิกฤตที่หนักหนานั้น น่ายกย่องและน่านับถือมากนะครับ
แน่นอนว่า ผมกำลังหมายถึง กรณีที่ ไม่ใช่ว่าเค้าปล่อยปละละเลยชีวิต แต่เพราะด้วยเหตุใดก็ตามแต่ ที่บังเอิญทำให้ชีวิตของคนๆ นั้น ต้องมาเจอวิกฤต
...
ที่ผมเกริ่นมาเสียยืดยาวข้างต้น ก็เพราะบังเอิญว่า ผมไปเจอวาทะหนึ่งจากตลกระดับโลกที่ชื่อ Charlie Chaplin เข้าให้ (ชาลี แชปลิน - ที่เราคุ้นเคยกับหนวดจิ๋ม, ชุดสูท, หมวก และไม้เท้า นั่นล่ะครับ)
วาทะนั้น ช่างเศร้าสร้อยและแสดงถึงความทอดอาลัยในชีวิต จนผมก็เศร้าไปด้วย, Charlie พูดไว้แบบนี้ครับ
"Mirror is my best friend because when I cry, it never laughs." แปลว่า "กระจก คือเพื่อนที่ดีที่สุดของผม เพราะเมื่อผมร้องไห้ มันก็ไม่เคยหัวเราะ"
ผมไม่ทราบว่า Charlie กล่าววาทะนี้ เพราะเค้าเศร้ามาจากข้างใน หรือแค่อยากจะพูดให้เป็นปรัชญาเก๋ๆ กันแน่
และแม้ว่ามันจะเป็นปรัชญาและวาทะที่คมคายเพียงใดก็ตาม แต่ถ้ามันหมายถึงชีวิตของใครสักคน ที่ต้องมาร้องไห้กับกระจกอย่างเดียวดายแบบนี้ มันออกจะเศร้าเกินไปมั๊ยล่ะครับ?
...
ผมทราบดีและเห็นด้วยกับทุกคนล่ะครับ ว่ามันง่ายมากที่จะพูดว่า "เราต้องยิ้มสู้วิกฤต" แต่ก็ต้องสารภาพแต่โดยดีว่า การยิ้มหรือตลกกับชีวิตได้ ทั้งๆ ทึ่กำลังเจอวิกฤตน่ะ มันไม่ใช่ของง่ายเลย จริงๆ
ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ก็ลองจินตนาการถึง การต้องสั่งการให้สมองคิดหาทางออกด้วยความสงบดุจน้ำแข็ง ในขณะที่ใจน่ะ ร้อนรนดุจโดนแผดเผา ดูสิครับ...ยากดีมั๊ยเอ่ย?
แต่ไม่ว่าใจเราจะร้อนยังไง สุดท้ายเราก็ต้องหาทางฝ่าวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่ไปให้ได้อยู่ดี...ก็แปลว่า ถ้าเราพยายามตั้งสติและข่มใจให้ร้อนน้อยลงหน่อย ยังไงก็น่าจะดีกว่า การปล่อยให้ใจโดนไฟสุมอยู่อย่างนั้นแน่ๆ
...
ก็เหมือนๆ กับที่ผมเคยคุยให้ฟังบ่อยๆ นั่นแหละครับ ว่าไม่ว่าเราจะสุขหรือทุกข์ เราก็ต้องทำมันอยู่ดี ดังนั้น ทำไมไม่พยายามมีความสุขกับความทุกข์ดูล่ะครับ?
ผมไม่ได้กำลัง "โลกสวย" หรือพยายามจะเป็นนักปราชญ์...หากแต่กำลังบอกทุกคนที่กำลังรู้สึกว่า "ชีวิตมาถึงทางตัน" ให้อย่ายอมแพ้หรืออย่าหยุดหาทางไปต่อ
แม้วันนี้อาจจะยังมองไม่เห็นทาง...แต่วันพรุ่งนี้ก็ยังมีให้เราสู้ต่อ ตราบเท่าที่เราไม่ยอมแพ้ เราก็ยังมีโอกาสสู้ครับ
ผมคิดว่า แม้เราจะพยายามสุดชีวิตแล้ว ก็ยังไม่เจอทางออก มันก็ยังไม่ใช่เวลาที่จะต้องไปร้องไห้กับกระจก อย่างแน่นอน
ทิ้ง ego ของเราเสีย และมองไปรอบๆ ตัวให้ดีเถิดครับ...เพื่อนเราคนใดคนหนึ่ง อาจจะพร้อมให้เรายืมไหล่เพื่อให้เราซับน้ำตา อยู่บ้างก็เป็นได้
...
ถ้ากระจกมีไว้เพื่อสะท้อนภาพของเราแล้วล่ะก็...เลือกให้มันสะท้อนภาพเรายิ้มจะดีกว่าครับ เพราะ...
จะสุขหรือทุกข์...เราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้อยู่ดี
สู้ๆ ครับ v(^_^)>
เค้าว่ากันว่า ชีวิตของคนตลก มักจะไม่ตลก...ผมเองก็ไม่ทราบว่า ข้อความนี้ ถูกต้องเป็นจริงเพียงใดนะครับ?
แต่เท่าที่ผมเคยได้เห็นและได้ยินมาบ้าง...ก็ต้องยอมรับว่า มีส่วนจริง แต่คงไม่ใช่กับคนตลกทุกคนแน่ๆ
ความจริงผมต้องบอกว่า คนที่ตลกกับชีวิตได้ แม้ในยามที่เค้าเจอวิกฤตที่หนักหนานั้น น่ายกย่องและน่านับถือมากนะครับ
แน่นอนว่า ผมกำลังหมายถึง กรณีที่ ไม่ใช่ว่าเค้าปล่อยปละละเลยชีวิต แต่เพราะด้วยเหตุใดก็ตามแต่ ที่บังเอิญทำให้ชีวิตของคนๆ นั้น ต้องมาเจอวิกฤต
...
ที่ผมเกริ่นมาเสียยืดยาวข้างต้น ก็เพราะบังเอิญว่า ผมไปเจอวาทะหนึ่งจากตลกระดับโลกที่ชื่อ Charlie Chaplin เข้าให้ (ชาลี แชปลิน - ที่เราคุ้นเคยกับหนวดจิ๋ม, ชุดสูท, หมวก และไม้เท้า นั่นล่ะครับ)
วาทะนั้น ช่างเศร้าสร้อยและแสดงถึงความทอดอาลัยในชีวิต จนผมก็เศร้าไปด้วย, Charlie พูดไว้แบบนี้ครับ
"Mirror is my best friend because when I cry, it never laughs." แปลว่า "กระจก คือเพื่อนที่ดีที่สุดของผม เพราะเมื่อผมร้องไห้ มันก็ไม่เคยหัวเราะ"
ผมไม่ทราบว่า Charlie กล่าววาทะนี้ เพราะเค้าเศร้ามาจากข้างใน หรือแค่อยากจะพูดให้เป็นปรัชญาเก๋ๆ กันแน่
และแม้ว่ามันจะเป็นปรัชญาและวาทะที่คมคายเพียงใดก็ตาม แต่ถ้ามันหมายถึงชีวิตของใครสักคน ที่ต้องมาร้องไห้กับกระจกอย่างเดียวดายแบบนี้ มันออกจะเศร้าเกินไปมั๊ยล่ะครับ?
...
ผมทราบดีและเห็นด้วยกับทุกคนล่ะครับ ว่ามันง่ายมากที่จะพูดว่า "เราต้องยิ้มสู้วิกฤต" แต่ก็ต้องสารภาพแต่โดยดีว่า การยิ้มหรือตลกกับชีวิตได้ ทั้งๆ ทึ่กำลังเจอวิกฤตน่ะ มันไม่ใช่ของง่ายเลย จริงๆ
ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ก็ลองจินตนาการถึง การต้องสั่งการให้สมองคิดหาทางออกด้วยความสงบดุจน้ำแข็ง ในขณะที่ใจน่ะ ร้อนรนดุจโดนแผดเผา ดูสิครับ...ยากดีมั๊ยเอ่ย?
แต่ไม่ว่าใจเราจะร้อนยังไง สุดท้ายเราก็ต้องหาทางฝ่าวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่ไปให้ได้อยู่ดี...ก็แปลว่า ถ้าเราพยายามตั้งสติและข่มใจให้ร้อนน้อยลงหน่อย ยังไงก็น่าจะดีกว่า การปล่อยให้ใจโดนไฟสุมอยู่อย่างนั้นแน่ๆ
...
ก็เหมือนๆ กับที่ผมเคยคุยให้ฟังบ่อยๆ นั่นแหละครับ ว่าไม่ว่าเราจะสุขหรือทุกข์ เราก็ต้องทำมันอยู่ดี ดังนั้น ทำไมไม่พยายามมีความสุขกับความทุกข์ดูล่ะครับ?
ผมไม่ได้กำลัง "โลกสวย" หรือพยายามจะเป็นนักปราชญ์...หากแต่กำลังบอกทุกคนที่กำลังรู้สึกว่า "ชีวิตมาถึงทางตัน" ให้อย่ายอมแพ้หรืออย่าหยุดหาทางไปต่อ
แม้วันนี้อาจจะยังมองไม่เห็นทาง...แต่วันพรุ่งนี้ก็ยังมีให้เราสู้ต่อ ตราบเท่าที่เราไม่ยอมแพ้ เราก็ยังมีโอกาสสู้ครับ
ผมคิดว่า แม้เราจะพยายามสุดชีวิตแล้ว ก็ยังไม่เจอทางออก มันก็ยังไม่ใช่เวลาที่จะต้องไปร้องไห้กับกระจก อย่างแน่นอน
ทิ้ง ego ของเราเสีย และมองไปรอบๆ ตัวให้ดีเถิดครับ...เพื่อนเราคนใดคนหนึ่ง อาจจะพร้อมให้เรายืมไหล่เพื่อให้เราซับน้ำตา อยู่บ้างก็เป็นได้
...
ถ้ากระจกมีไว้เพื่อสะท้อนภาพของเราแล้วล่ะก็...เลือกให้มันสะท้อนภาพเรายิ้มจะดีกว่าครับ เพราะ...
จะสุขหรือทุกข์...เราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้อยู่ดี
สู้ๆ ครับ v(^_^)>
Comments
Post a Comment