Skip to main content

Post#3-24: ผู้บริหารกะโหลกกะลา

Post#3-24:
ผมคิดว่า ลูกน้องหลายๆ คน ก็คงเคยบ่นเรื่องที่บริษัทฯ ค่อนข้างเข้มงวดกับเวลาเข้างานและเวลาเลิกงาน กันบ้าง ไม่มากก็น้อย

สารภาพว่า ผมเองสมัยที่เริ่มทำงานใหม่ๆ ก็เซ็งเรื่องนี้อยู่บ้างเหมือนกัน หากแต่ก็เข้าใจได้ดีว่า ด้วยเหตุผลใด ที่บริษัทฯ จำต้องเข้มงวดเรื่องเวลา

และผมเชื่อว่า ลึกๆ แล้ว ทุกคนก็ทราบดี ว่าการเข้า-ออกงานให้ตรงเวลา สำคัญเพียงใด โดยไม่ต้องอธิบายซ้ำ

ใน Post#261 (นานมากแล้วครับ) ผมเองก็เคยแชร์เรื่องนี้ไว้ครั้งหนึ่งแล้ว ว่าเรื่องแบบนี้ บางครั้งมันก็เป็นเรื่องที่ต้องปลูกฝังไว้ในค่านิยมองค์กรกันเลยทีเดียว

...

ลูกน้องหรือเด็กๆ น่ะ โดนคุมเวลาด้วยการบันทึกเวลาเข้าและออกงาน เพราะวิธีคิดและวุฒิภาวะของพวกเค้ายังไม่มากพอ

แต่ผู้บริหารทั้งหลายที่ไม่ต้องบันทึกเวลามาทำงานนี่สิ ที่ต้องหันมาคิดและพิจารณาตัวเองให้มากๆ ว่า ทำไมบริษัทฯ ยกเว้นให้ไม่ต้องบันทึกเวลา...

แน่นอนว่า เป็นเพราะบริษัทฯ เชื่อว่าผู้บริหารคงจะมี (และควรจะมี) วิธีคิดและสำนึกในความรับผิดชอบในหน้าที่และการปฏิบัติตนในระดับที่สูงกว่าน้องๆ หรือเด็กๆ

ดังนั้น ผู้บริหารที่เข้าใจผิดๆ ว่า ในเมื่อไม่ต้องบันทึกเวลาเข้า-ออก จะมาเมื่อไหร่กลับตอนไหนก็ได้ จึงถือเป็นการไม่ให้เกียรติตัวเองและไม่อาจเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่น้องๆ ได้

...

ท่านผู้บริหารระดับสูงหรือเจ้าของกิจการ จึงไม่ควรมองข้ามวินัยข้อนี้ครับ...เพราะถ้าเรื่องเวลา ซึ่งถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่สำคัญ ยังรักษาไว้ไม่ได้ ก็มิพักที่เราจะมอบความไว้วางใจ ให้ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้บริหารท่านนั้น รับผิดชอบงานสำคัญ หรือได้รับการสนับสนุนให้ก้าวหน้า

ถ้ามีเหตุจำเป็น หรือมีบ้างนานๆ ครั้ง ก็คงพอรับได้ครับ เพราะเราเป็นคนไม่ใช่หุ่นยนต์ จะให้มา perfect 100% ก็คงลำบาก

แต่ประเภท เป็นขาประจำ แบบ "ชอบลา มาสาย กลับก่อน อ่อนข้อมูล" แต่อาศัยทำงานมานาน เป็นพวกแก่กะโหลกกะลานี่มีอยู่เยอะจริงๆ ครับ

แล้วก็ไอ้นิสัยใจดีของคนไทย ก็มักจะหยวนๆ ให้ จนคนประเภทที่ว่าเคยตัวและได้ใจอยู่ไม่น้อย...สุดท้ายก็เลยกลายเป็นการทำร้ายองค์กรไปอย่างไม่น่าจะเป็น

...

ใครที่เป็นผู้ใหญ่ที่มีพฤฒิกรรมที่น่าชิงชังแบบนี้ ผมเห็นควรให้ท่านปรับปรุงตัวเป็นการเร่งด่วนครับ

เด็กๆ ทำ ยังพอกล้อมแกล้มได้ว่า วุฒิภาวะยังไม่ถึงขั้น แต่ถ้าผู้ใหญ่มาทำแบบนี้ เค้าเรียกว่า "ไร้ยางอาย" และ "ขายขี้หน้า"

ส่วนลูกน้องและผู้บริหารทั้งหลาย (ที่มีพฤฒิกรรมแบบนี้) ไม่ว่าจะอยู่บริษัทฯ ไหนของผมก็ตาม ที่ได้มาอ่าน Post นี้...ผมคิดว่า นี่เป็นวิธีการเตือนที่สุภาพที่สุดแล้ว

ถ้ายังไม่ปรับตัว...คงทราบชะตากรรมดีใช่มั๊ยครับ?

#ขออภัย...จำใจโหด

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...