Post#3-50:
ช่วงหัวค่ำวันนี้ ผมใช้เวลากว่า 45 นาที ในการเล่าถึง Brand Concept และ Brand Identity ของ product ชิ้นหนึ่ง ให้กับ Agency ได้รับทราบ
หลายต่อหลายครั้ง ผมพบว่า เจ้าของ Brand และ Agency ไม่ได้คุยกันถึงเป้าหมายร่วมกัน ทำให้ผลลัพธ์ในการทำ campaign ไม่ค่อยจะตรงความต้องการที่แท้จริง
บ่อยครั้งที่เจ้าของ Brand (มักจะไม่ใช่เจ้าของคุยเอง แต่ปล่อยให้ Brand Manager ดูแลเอง) ทำการ brief งาน Agency แล้ว ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดอีกเลย
การทำงานแบบนี้ ก็ไม่ต่างจากการเดินเข้าร้านตัดผม แล้วก็เอารูปให้ช่างดู จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ โดยไม่ใส่ใจอะไรอีก
แล้วคุ้มมั๊ยล่ะครับ...กับการเงยหน้ามาอีกที มองในกระจก แล้วได้แต่อุทานว่า "เฮ้ย...นี่มันทรงอะไรฟะ?"
...
ว่ากันให้ถูกต้องแล้ว Brand Story น่ะเป็นของเรา แต่เราต้องการให้ Agency มาช่วยหาวิธีเล่าเรื่องในแบบที่สร้างสรรค์
แต่ไม่ใช่ให้ Agency มารับผิดชอบในความเป็นความตายของ Brand ซึ่งนั่นถือเป็นการโยนภาระของเจ้าของ Brand ไปให้กับคนอื่น
Agency ไม่ใช่เจ้าของ Brand แต่เป็นผู้ช่วยสร้าง Story Telling ของ Brand ดังนั้น เจ้าของ Brand ต้องชัดว่า อยากจะบอกอะไรกับลูกค้า หรืออย่างน้อยต้องรู้ว่า Brand ของตัวเองมี Identity อะไร?
...
สรุปสั้นๆ ก็คือ ในการจะทำ Brand Telling หรือ Marketing Campaign นั้น สิ่งที่เจ้าของ Brand จะต้องบอก Agency ได้ มีแค่ 2 อย่าง...
หนึ่ง...จุดมุ่งหมายที่จะทำ Campaign คืออะไร?
และสอง...มีงบประมาณและระยะเวลาเท่าไหร่?
ส่วนจะต้องบอกเล่าเรื่องราวของ Brand ยังไง หรือจะเลือกทำ Campaign แบบไหนนั้น เจ้าของ Brand ควรให้กรอบกว้างๆ และเปิดโอกาสให้ Agency ได้นำเสนอ
เรียกว่า...เจ้าของ Brand บอกปลายทางและกำหนดกรอบต้นทางให้ชัด ส่วนเส้นทางน่ะให้เป็นเรื่องของ Agency...ว่ายังงั้น
แบ่งงานกันทำครับ...ไม่ใช่คิดเองทุกเรื่องทุกอย่าง...
ไม่งั้นแล้ว จะจ้าง Agency มาเพื่ออะไร?
...
อีกประเด็นที่เจ้าของ Brand ต้อง note ไว้ ก็คือ เราไม่ชอบ idea ที่ Agency นำเสนอได้ แต่ถ้าเป็นแบบ นั่นก็ไม่ใช่ โน่นก็ไม่ชอบ แล้วที่แย่คือบอกไม่ได้เสียด้วย ว่าไม่ชอบตรงไหน ไม่ชอบอย่างไร แล้วต้องปรับแก้ส่วนใด
แบบนี้ก็น่าเห็นใจ Agency เอาการอยู่ครับ -"-
ช่วงหัวค่ำวันนี้ ผมใช้เวลากว่า 45 นาที ในการเล่าถึง Brand Concept และ Brand Identity ของ product ชิ้นหนึ่ง ให้กับ Agency ได้รับทราบ
หลายต่อหลายครั้ง ผมพบว่า เจ้าของ Brand และ Agency ไม่ได้คุยกันถึงเป้าหมายร่วมกัน ทำให้ผลลัพธ์ในการทำ campaign ไม่ค่อยจะตรงความต้องการที่แท้จริง
บ่อยครั้งที่เจ้าของ Brand (มักจะไม่ใช่เจ้าของคุยเอง แต่ปล่อยให้ Brand Manager ดูแลเอง) ทำการ brief งาน Agency แล้ว ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดอีกเลย
การทำงานแบบนี้ ก็ไม่ต่างจากการเดินเข้าร้านตัดผม แล้วก็เอารูปให้ช่างดู จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ โดยไม่ใส่ใจอะไรอีก
แล้วคุ้มมั๊ยล่ะครับ...กับการเงยหน้ามาอีกที มองในกระจก แล้วได้แต่อุทานว่า "เฮ้ย...นี่มันทรงอะไรฟะ?"
...
ว่ากันให้ถูกต้องแล้ว Brand Story น่ะเป็นของเรา แต่เราต้องการให้ Agency มาช่วยหาวิธีเล่าเรื่องในแบบที่สร้างสรรค์
แต่ไม่ใช่ให้ Agency มารับผิดชอบในความเป็นความตายของ Brand ซึ่งนั่นถือเป็นการโยนภาระของเจ้าของ Brand ไปให้กับคนอื่น
Agency ไม่ใช่เจ้าของ Brand แต่เป็นผู้ช่วยสร้าง Story Telling ของ Brand ดังนั้น เจ้าของ Brand ต้องชัดว่า อยากจะบอกอะไรกับลูกค้า หรืออย่างน้อยต้องรู้ว่า Brand ของตัวเองมี Identity อะไร?
...
สรุปสั้นๆ ก็คือ ในการจะทำ Brand Telling หรือ Marketing Campaign นั้น สิ่งที่เจ้าของ Brand จะต้องบอก Agency ได้ มีแค่ 2 อย่าง...
หนึ่ง...จุดมุ่งหมายที่จะทำ Campaign คืออะไร?
และสอง...มีงบประมาณและระยะเวลาเท่าไหร่?
ส่วนจะต้องบอกเล่าเรื่องราวของ Brand ยังไง หรือจะเลือกทำ Campaign แบบไหนนั้น เจ้าของ Brand ควรให้กรอบกว้างๆ และเปิดโอกาสให้ Agency ได้นำเสนอ
เรียกว่า...เจ้าของ Brand บอกปลายทางและกำหนดกรอบต้นทางให้ชัด ส่วนเส้นทางน่ะให้เป็นเรื่องของ Agency...ว่ายังงั้น
แบ่งงานกันทำครับ...ไม่ใช่คิดเองทุกเรื่องทุกอย่าง...
ไม่งั้นแล้ว จะจ้าง Agency มาเพื่ออะไร?
...
อีกประเด็นที่เจ้าของ Brand ต้อง note ไว้ ก็คือ เราไม่ชอบ idea ที่ Agency นำเสนอได้ แต่ถ้าเป็นแบบ นั่นก็ไม่ใช่ โน่นก็ไม่ชอบ แล้วที่แย่คือบอกไม่ได้เสียด้วย ว่าไม่ชอบตรงไหน ไม่ชอบอย่างไร แล้วต้องปรับแก้ส่วนใด
แบบนี้ก็น่าเห็นใจ Agency เอาการอยู่ครับ -"-
Comments
Post a Comment