Skip to main content

Post#3-38: Those who talk behind your back

Post#3-38:
เช้าวันนี้ ลูกน้องของผมคนหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ M ก็แล้วกันนะครับ) ถามผมว่า ถ้ามีเพื่อนชอบโพสต์ด่านายหรือด่าบริษัทฯ ของตัวเอง จะต้องทำยังไงดี?

นั่นสิครับ...ถ้าเป็นคุณๆ เจอคำถามแบบนี้บ้าง จะตอบยังไงดีครับ?

มาลองคิดคำตอบในมุมมองของตัวเองดูหน่อยก็ดีนะครับ...ผมให้เวลา 3 นาทีครับ ^^

...

สารภาพว่า ตัวผมเองในอดีต ก็มีบ้างเช่นกันที่มีประเด็นไม่เข้าใจนาย หรือไม่พอใจบริษัทฯ...ผมก็ได้แต่บ่นกระปอดกระแปดกับเพื่อนๆ ที่สนิทกันบ้าง

สุดท้ายแล้ว...ถ้ามันไปกันไม่ได้จริงๆ ผมก็เลือกลาออกมาทำอย่างอื่น เพราะไม่อาจที่จะด่านายหรือบริษัทฯ แต่ก็ยังหน้าด้านรับเงินเดือนเค้าไปเรื่อยๆ ให้เข้าทำนอง "กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา"

มันก็เป็นธรรมดาที่คงจะไม่มีอะไรถูกใจเราไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงาน, เพื่อน, ลูกค้า หรือแม้แต่นาย

เรื่องแบบนี้ สุดท้ายแล้วก็เป็นปัญหาเรื่องมุมมองนั่นล่ะครับ และขืนเอาเรื่องมุมมองมาเถียงกัน ก็น่ากลัวว่า 3 ปี ก็ยังเถียงกันไม่จบไม่สิ้น

...

กลับมาเรื่องคำตอบที่ผมตอบน้อง M ไปเมื่อเช้านี้...ผมตอบไปว่า

ในมุมมองของ M คิดว่าเรื่องที่เพื่อนเค้าโพสต์เป็นเรื่องจริงรึเปล่า? ถ้าไม่จริง แล้ว M จะไปสนใจทำไม ใครเค้าจะโพสต์จะว่าอะไรก็ช่างเค้า ถ้าเราไม่ชอบหรือรำคาญ ก็ unfriend ไปซะก็จบ...อย่าไปต่อล้อต่อเถียง หรือไม่ต้องไปเจ็บร้อนแทน

แต่ถ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง ก็เล่าให้นายฟัง จะได้เกิดการปรับปรุง เพราะบางครั้งมันก็อาจจะมีประเด็นที่เข้าใจไม่ตรงกันได้

...

จริงๆ ผมว่า ชีวิตในแต่ละวันของเราก็ยุ่งยากมากพออยู่แล้ว ดังนั้นก็อย่ามัวไปหยิบเรื่องนั่น นู่น นี่ มาใส่ใจให้มากนักเลย...โดยเฉพาะเรื่องด่าว่าหรือนินทาด้วยแล้ว อย่าไปให้ความสำคัญจนเกินงาม

ผมเคยอ่านเจอที่ฝรั่งว่าไว้ เกี่ยวกับพวกชอบนินทา...อ่านแล้วสบายใจดีครับ...เค้าว่าไว้ว่า

"Don't worry about those who talk behind your back. They are behind you for a reason." แปลว่า "อย่าไปกังวลกับพวกที่ชอบนินทาลับหลังคุณอยู่เลย พวกนั้นน่ะ ได้แต่อยู่ข้างหลังคุณด้วยเหตุผลบางอย่าง"

ประโยคนี้จบลงห้วนๆ แบบนี้ เพื่อให้เราไปคิดต่อว่า เหตุผลบางอย่างที่ว่านั้นคืออะไร?

อืมมม...

งั้นผมขอเติมให้ละกันครับว่า ไม่ว่าเหตุผลนั้นจะคืออะไรก็ตาม แต่มันล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้เค้าไม่สามารถก้าวมานำหน้าคุณได้นั่นไงล่ะครับ...

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...