Skip to main content

Posts

Showing posts from February, 2016

Post#3-175: Do small things in a great way...

Post#3-175: Napoleon Hill นักเขียนชื่อดังชาวอเมริกัน กล่าวไว้ว่า... "If you cannot do great things, do small things in a great way." แปลตามสำนวนของผมว่า "ถ้าคุณไม่สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้, ก็จงทำเรื่องเล็กๆ ให้ดีที่สุด" ... บ่อยครั้งที่เรามัวแต่ครุ่นคิดที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ หรืออยากจะมั่งคั่งแบบรวยทางลัด เรียกว่า อยากจะทำงานเดียวแล้วโด่งดังชัวข้ามคืน หรือไม่ก็รวยล้นฟ้าในพริบตา...ว่าอย่างนั้น แท้ที่จริงแล้ว...เราต่างก็ลืมเลือนตัวอย่างที่ดีงามที่บรรดาตำนานที่มีชีวิตทั้งหลายและเจ้าสัวอีกนับไม่ถ้วน ได้แสดงให้เราเห็นไปเสียสิ้น ชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ย่อมมาจากการสั่งสมอันยาวนาน, ความมั่งคั่งอันจริงแท้ย่อมมาจากการเก็บหอมรอมริบอย่างต่อเนื่อง ... ถ้าถามว่าการโด่งดังชั่วข้ามคืน หรือการกลายเป็นเศรษฐีแต่เยาว์วัย เป็นไปไม่ได้หรือไง? ผมไม่เถียงหรอกครับ ว่ามันเป็นไปได้ แต่ก็ขอถามกลับว่า คนที่อยู่ถูกที่ถูกเวลาเหล่านี้น่ะ คิดเป็นกี่เปอร์เซนต์ของประชากรโลกกันเอ่ย? ถามใหม่ครับว่า...ถ้าคุณอยากจะมีบ้านเป็นของตัวเอง คุณจะเลือกใช้วิธีผ่อนบ้านไปเรื่อยๆ หรื...

Post#3-174: เลือกเส้นชัย

Post#3-174: ผมเชื่อว่าไม่มีใครชอบความยากจนข้นแค้น...และถ้าเลือกได้ ทุกคนก็คงอยากเกิดมาพร้อมความมั่งมีศรีสุข แต่น่าเสียดายที่เราเลือกเกิดไม่ได้...จะได้มาเกิดในตระกูลสูงศักดิ์มั่งมี หรือจะต้องมาเกิดในครอบครัวยาจกเข็ญใจ ก็คงล้วนแต่บุญทำกรรมแต่ง หากผลบุญหรือผลกรรมจากชาติที่แล้วส่งผลถึงชาตินี้ฉันใด...ผลจากชาตินี้ก็จะต้องส่งผลถึงชาตินี้ฉันนั้น ... ผมมีเพื่อนชาวเกาหลีอยู่หลายคน แต่มีคนหนึ่ง เธอเล่าให้ผมฟังอย่างฮาว่า "เกิดมาไม่สวยไม่เป็นไร...แต่ก่อนตายถ้าไม่ทำให้ตัวเองสวย ถือว่าเสียชาติเกิด" ตอนฟังผมก็ขำ...แต่พอคิดตามคำพูดของเธอแล้ว นี่มันเป็นเป็นปรัชญาชัดๆ เลยครับ เพราะมันหมายความว่า เราเลือก "ที่มา" ไม่ได้...แต่เราเลือก "ที่ไป" ได้ ... Bill Gates เอง ก็แสดงทัศนะไว้แนวๆ เดียวกันว่า "If you born poor, it's not your mistake; but if you die poor, it's your mistake. แปลว่า "ถ้าคุณเกิดมายากไร้, นั่นไม่ใช่ความผิดของคุณ; แต่หากคุณตายอย่างแร้นแค้น, นั่นล่ะคือความผิดของคุณ" แปลไทยเป็นไทยอีกทีครับ...ทั้งเพื่อนผมและ Bill Gates บ...

Post#3-173: มองเหลียวหลัง vs มองไปข้างหน้า

Post#3-173: บ่ายวันนี้ ผมประชุมกับหุ้นส่วนท่านหนึ่ง แล้วก็ไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่ เพราะเค้าเอาแต่บ่นถึงความผิดพลาดที่ผ่านไปแล้ว บางครั้งก็มีเรื่องเหนือความคาดหมายในทางร้ายเกิดขึ้นกับเราอย่างน่าเจ็บใจ แต่ผมก็อยากจะบอกว่า ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ ผมนึกไม่ออกว่า จะมีประโยชน์อะไร ที่เราจะมัวแต่สาปแช่งอดีต ก่นด่าชะตากรรม หรือคร่ำครวญถึงสิ่งที่เสียไป สู้เอาเวลามาคิดหาหนทางเดินต่อ หาลู่ทางไปสู่อนาคต จะเป็นประโยชน์มากกว่ามั๊ย? ... การมัวแต่จมอยู่กับสิ่งที่ผ่านไป จะทำให้เรากลายเป็นพวก "ขี้โทษ" โทษนั่นโทษนี่, ด่าคนนั้นบ่นคนนี้ แต่สุดท้ายแล้ว การขี้โทษก็ไม่ได้ส่งเราไปไหน นอกจากจมอยู่กับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไม่ว่าจะส่วนน้อยหรือส่วนใหญ่...ความผิดพลาดที่ผ่านไป ล้วนเป็นผลส่วนหนึ่งมาจากตัวเราเองด้วยแน่ๆ อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นความผิดของตัวเองบ้างมั๊ย หรือมัวแต่โทษฟ้าโทษดินอยู่ร่ำไป ผมอยากจะบอกทุกคนที่ยังลืมความผิดพลาดที่ผ่านมาไม่ได้ ด้วยวาทะเตือนใจของฝรั่งที่ว่า... "Don't look back, you're not going that way" (แปลว่า "อย่ามัวแต่มองไปข้างหลัง, คุณไม่ได้กำลังจ...

Post#3-172: Copy&Development

Post#3-172: วันนี้เป็นวันแรก ที่ Facebook นำ Facebook Reactions หรือ Emoji Reactions ที่เรารู้จักคุ้นเคยกันดีจาก Timeline ใน LINE นั่นล่ะครับ ก็มีเสียงค่อนขอดว่า ไม่เจ๋งจริงนี่นา เพราะ Facebook เลียนแบบ LINE แต่ผมว่าของแบบนี้ มันไม่เห็นจะเป็นเรื่องว่าใครเลียนแบบใครเลย...หากว่ามันเป็นการปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้น และไม่ได้เป็นการไปขโมยลิขสิทธิ์ใคร ... แม้ว่า Facebook จะเป็น Social Platform ที่หาคู่เทียบได้ยากมากๆ แต่กระนั้น Facebook ก็ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนา หากว่าคนที่เป็นผู้นำไม่คิดจะหยุดรอ ก็เป็นอันยากเอาการที่ผู้ตามจะตามมาหายใจรดต้นคอได้ เว้นแต่จะมีนวัตกรรมที่ล้ำกว่าหลายขั้น แต่หากมัวแต่คิดว่า เราเจ๋งแล้ว เราดีอยู่แล้ว...ก็รับรองว่าไม่ช้าไม่นาน ตำแหน่งของผู้นำก็จะต้องสั่นคลอน ... แล้วก็อย่ามัวแต่ถือศักดิ์ศรีของผู้นำ ตามอย่างคนอื่นเค้าไม่ได้ เพราะนอกจากจะเป็นการเสียเวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ แล้ว ยังเป็นการไม่ฉลาดทีไม่รู้จักหยิบข้อดีของคู่แข่งมาต่อยอด อย่าลืมว่า การต่อยอดจากของเดิมที่มีอยู่ เป็นหลักการสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยีนั้นพัฒนาต่อเนื่องมาได้จนถึงปัจจุบัน สำคัญแต่ว่า ต้อง...

Post#3-171: React smartly

Post#3-171: แม้เราจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่า เราไม่อาจจะมีแต่คนที่รักเราได้ทั้งหมด (และหวังว่าเราคงไม่ได้มีแต่คนเกลียดไปเสียทุกคนเช่นกัน) แต่เราเคยลองถามตัวเองบ้างมั๊ยครับ ว่าบางครั้งเราก็เอาใจไปผูกไว้กับคำพูดหรือการกระทำที่คนอื่นมีต่อเรามากไปรึเปล่า? เท่าที่ผมสังเกตและวิเคราะห์ ผมว่าจริงๆ แล้วคนรอบข้างก็ไม่ได้มีเวลามาใส่ใจเรื่องของเรามากนักหรอกครับ เพราะลำพังเรื่องของเค้าเองก็มากอยู่แล้ว แต่ที่มันเป็นประเด็น เพราะบางครั้งเราเองก็คิดมากไป หรือบางทีก็คิดไปเอง...แต่บางคนก็อาจจะทำอะไรไปโดยไม่ค่อยคิด หรือทำนิสัยบางอย่างให้ขัดอกขัดใจคนอื่นโดยไม่รู้ตัว ... ถ้าเรารู้สึกว่า เรากำลังตกเป็นหัวข้อในการสนทนาของคนรอบข้าง หรือเดินเข้าไปวงไหน ก็มีอันวงแตกไปเสียทุกทีแล้วล่ะก็... เห็นที คงเป็นเวลาที่อาจจะต้องทบทวนตัวเราเองแล้วล่ะครับ ว่าไปทำอะไรไม่เข้าท่าไว้บ้างมั๊ย? ถ้าใช่...เราก็ควรปรับปรุงตัวเอง เพื่อให้เรากลับไปเป็นส่วนหนึ่งของสังคมรอบข้างได้ เพราะเราต้องอย่าลืมว่า เราอยู่คนเดียวโดยไม่มีสังคมไม่ได้แน่ๆ แต่ถ้าไม่ใช่...เพราะเรามั่นใจว่า คนหรือกลุ่มคนที่มีปฏิกิริยาที่ไม่ดีกับเรานั้น เป็นฝ่ายหา...

Post#3-170: กันไว้ย่อมดีกว่าแก้

Post#3-170: ผมพึ่งจะเสร็จจาก Massage Treatment เมื่อสักครู่นี้เองครับ ความจริงผมไม่ชอบการนวดเอาเสียเลย เพราะมีประสบการณ์ไม่ค่อยดีกับการนวดในอดีต...แต่คราวนี้เส้นตึงจนหันหน้าไม่ค่อยจะได้ ประกอบกับปวดเอวมาก ไม่ต้องโทษใครเลยครับ...สาเหตุเกิดจากหย่อนยานการออกกำลังกาย ประกอบกับ Office Syndrome ที่คนเมืองมักจะเป็นกันนั่นเอง นอกจากนั้น หมอที่มานวดก็ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า หนึ่งในสาเหตุของการปวดเอวมากๆ อาจมาจากอุปนิสัยของการขับถ่ายที่ไม่ดีด้วยเช่นกัน ... ยังไงก็ตามแต่...การทำ Treatment เป็นแค่การแก้ปลายเหตุ แปลว่าตราบใดที่ผมยังไม่ขยันออกกำลังกายและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในที่ทำงาน ก็มีหวังจะต้องกลับมาเจ็บตัวกับ Treatment อีก อาการเจ็บป่วยแบบที่ผมเป็นนี้ ก็พอจะอุปมาได้ว่า ผมยังทำงานเชิง Preventive Action ได้ไม่ดีพอ การทำ Treatment เป็นเพียงการแก้ปลายเหตุ เป็น Corrective Action ต่างจาก Preventive Action ที่เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุขึ้น เหนือสุดของการรบให้ชนะ...ก็คือการวางแผนให้ไม่ต้องรบ เฉกเช่นกับเหนือสุดของการรักษาอาการป่วย ก็คือการหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเราป่วยนั่นเอง ... ก่อนที...

Post#3-169: ขันติบารมี

Post#3-169: คาดว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก "ความอดทน" อย่างแน่นอนนะครับ...และก็แน่นอนเช่นกันที่นิยามของความอดทนของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป บ้างก็ต้องอดทนต่อความอยุติธรรม, บ้างก็ต้องอดทนรอคอยโอกาสอะไรบางอย่าง และบ้างก็ต้องอดทนต่อความทุกข์ยากของชีวิต ขึ้นชื่อว่า "ความอดทน" แล้ว คงเป็นเช่นที่หลวงพ่อจรัญฯ ได้โปรดเทศน์สั่งสอนไว้ว่า ความอดทน คือการ "อด" ในสิ่งที่ชอบ และการ "ทน" ในสิ่งที่ไม่ชอบ หากแต่ช่วงเวลาแห่งการอดทนนั้น จะยาวนานดุจชั่วกัลป์ หรือจะเหมือนเวลาติดปีกบิน, จะผ่านไปอย่างเศร้าซึม หรือผ่านไปอย่างเริงรื่น...ทุกสิ่งล้วนถูกกำหนดโดยวิธีคิดของเรา ... Joyce Meyer (นักเขียนและนักพูดชาวอเมริกัน) ว่าไว้ว่า... "Patience is not an ability to wait, but the ability to keep a good attitude while waiting." แปลว่า "ความอดทนนั้น มิใช่ความสามารถในการรอคอย แต่เป็นความสามารถในการรักษาทัศนคติเชิงบวกไว้ได้ตลอดชั่วระยะเวลาที่รอคอย ต่างหาก" ... ผมออกจะชอบวิธีคิดของ Joyce Meyer มากอยู่...ค่าที่มันเตือนใจและให้สติเราได้ดีเหลือเกินว่า ...

Post#3-168: มาฆบูชา...ถึงเวลาเรียกสติ

Post#3-168: ช่วงนี้ความร้อนแรงเกี่ยวกับกระแสการตั้งองค์สังฆราชก็ยังมิอาจหาข้อยุติลงได้ง่ายๆ ผมเชื่อว่าใครก็ตามที่เป็นพุทธศาสนิกชนต่างก็พากันสังเวชใจกับภาพที่พระสงฆ์แตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย ออกมาเรียกร้องหรือออกมาแสดงท่าทีที่ขาดความสำรวมเป็นที่น่าหดหู่ พระสงฆ์ฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูก...คงไม่เป็นประเด็นมากเท่ากับความศรัทธาในวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ทั้งหลายที่เรากราบไหว้บูชา ... จะว่าไปแล้ว วิกฤตศรัทธาที่เกิดขึ้น คงจะเป็นสิ่งบ่งชี้ได้เป็นอย่างดีว่า ความเสื่อมถอยในพระธรรมวินัยได้เกิดขึ้นแล้ว อย่างยากที่จะแก้ไข เหตุเพราะอลัชชีและเดียรถีย์บางพวก ทำให้ภาพลักษณ์แห่ง "พระสงฆ์" ต้องมัวหมอง กลายเป็นพระเพียงเพราะรูปลักษณ์แห่งสงฆ์ หาใช่เกิดจากการถือศีลอันสูงส่งกว่าปุถุชนไม่ แม้ว่า "พระสงฆ์" ที่แท้ จะยังมีอยู่อย่างแน่นอนในบ้านเมืองของเรา แต่ท่านก็จำต้องวางตนอยู่บนอุเบกขา ไม่ออกมาแสดงมิจฉากิริยาให้แปดเปื้อนกองกิเลสและตัณหา ... เนื่องในวันมาฆบูชานี้ ผมจึงถือเป็นโอกาสดีที่เราชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จะได้น้อมนำพระธรรมคำสั่งสอนที่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดประทานให้พวกเรา มาใช้เ...

Post#3-167: เปิดประสบการณ์ใหม่

Post#3-167: วันนี้ผมมีโอกาสดีที่หุ้นส่วนชาวต่างชาติเชิญมาประชุมทีต่างประเทศ เนื่องจากสถานที่ประชุมอยู่ไกลพอควร เรียกว่าถ้าเดินทางด้วยรถก็จะกินเวลาไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง, ดังนั้น เราจึงจำต้องย่นเวลาเดินทางด้วยการใช้ Helicopter! นับเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งสำหรับผม...และสารภาพว่า ผมแอบเสียวเล็กๆ ณ ขณะที่เครื่อง Take off ... เมื่อขึ้นมาได้สักพัก อาการแอบกลัวก็หายไป เหลือแต่ความตื่นตาตื่นใจแทน...ทัศนีภาพที่ปกติคงมีแต่นกเท่านั้นที่เห็น คราวนี้ผมได้ดูจนเต็มอิ่ม แน่นอนว่าภาพที่เห็นนั้น ไม่เหมือนกับที่มองลงมาจากเครื่องบินโดยสารทั่วๆ ไป เพราะระดับของเพดานบินนั้นต่างกันมาก มานั่งทบทวนดู ถ้าไม่กล้าตัดสินใจเลือกเดินทางด้วย Copter ก็ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่บนรถนานนับ 4 ชั่วโมง และคงไม่ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ แบบนี้ ส่วนในเรื่องของความปลอดภัยนั้น ในวันที่สภาพอากาศยอดเยี่ยมแบบนี้...ผมลอง research เพิ่มเติมดูก็พบสถิติที่น่าสนใจว่า แท้จริงแล้ว อุบัติเหตุจาก Copter นั้น น้อยกว่าที่เกิดกับเครื่องบินทั่วไปเสียอีก ... บางครั้งการเปิดโอกาสให้ตัวเราได้ค้นพบประสบการณ์ใหม่ๆ แบบนี้....

Post#3-166: แก้อดีต-เปลี่ยนอนาคต

Post#3-166: เคยบ้างมั๊ยครับ ที่เรามัวแต่จมจ่อมสำนึกผิดอยู่กับเรื่องผิดพลาดในอดีต แล้วก็ไม่อาจทำใจให้ลืมมันได้? เวลาที่ยุ่งๆ ก็พอจะลืมๆ ไปได้บ้าง แต่พอว่างทีไร ก็มิวายที่ไอ้เจ้าความรู้สึกสำนึกผิดนี้ ก็มีอันต้องกลับมาเกาะกุมใจเราไปเสียทุกที ยิ่งเราพยายามจะหาวิธีไถ่ความผิดพลาด กลับยิ่งเหมือนกับเราย้ำให้ความสำนึกผิดนี้ ฝังรากลงในใจเรามากขึ้นเท่านั้น ... แล้วเคยมั๊ยครับ ที่เรากังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่เราก็มิอาจหักห้ามใจไม่ให้คิดถึงมันได้เช่นกัน? ความวิตกในเรื่องอนาคตนั้น มักเป็นตัวทำให้จิตของเราฟุ้งซ่านไปได้ร้อยแปดพันประการ ต่างจากการสำนึกผิดในเรื่องราวจากอดีต ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ทำให้จิตของเราหมกมุ่นอยู่กับเรื่องๆ เดียว แต่ไม่ว่าจะเป็นการผูกตัวเองไว้กับปมอดีตหรือจะเป็นการวิตกจริตอยู่แต่กับเรื่องอนาคต...หากมันมากจนเกินพอดี มันก็หาเป็นประโยชน์ใดๆ กับตัวเราไม่ ... คำพระท่านจึงเตือนเราไว้หนักหนา...ว่าเราควรจะมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันให้มาก อย่ามัวไปผูกอยู่กับอดีตที่แก้ไม่ได้ แล้วก็อย่ามัวแต่ไปฟุ้งกับอนาคตที่ยังมองไม่เห็น สำนึกผิดนั้นเป็นเรื่องดี...หากแต่ต้องเรียนรู้จากมั...

Post#3-165: The impossible journey

Post#3-165: มันเป็นเรื่องที่สุดแสนจะธรรมดา ที่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะกลัวการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ... บ้างก็กลัวความยากลำบาก, บ้างก็ไม่กล้าออกจากพื้นที่คุ้นชิน และบ้างก็คร้านเกินจะขยับเขยื้อนเคลื่อนกาย นั่นย่อมเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมคนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ จึงมีจำนวนน้อยกว่าน้อย ... อย่างที่เราต่างก็รู้กันดี...คนที่ประสบความสำเร็จหาใช่คนที่ไม่เคยล้มเหลว หากแต่เป็นคนที่เรียนรู้มาจากความล้มเหลวหลายๆ ครั้งต่างหาก แม้ว่า "ความสำเร็จ" จะเป็นสิ่งที่ยากจะได้มา แต่กระนั้น การเริ่มต้นลงมือทำ ก็ย่อมส่งให้เราก้าวเข้าใกล้กับมันได้มากกว่าการหยุดอยู่เฉยๆ เป็นแน่ ดังนั้น คนที่ประสบความสำเร็จ จึงบอกตรงกันหมดว่า คนที่เสี่ยงที่สุดก็คือคนที่ไม่ยอมเสี่ยงเลย ... แม้ว่าหนทางที่ยาวไกลอาจจะยากที่จะพิชิต แต่หากไม่เริ่มต้นก้าวแรก เราก็มิอาจจะไปถึงปลายทางอันแสนไกลนั้น และหากแม้ว่าเส้นชัยจะอยู่ใกล้แสนใกล้ หากแม้มิยอมก้าวเท้า เราฤาจะไปถึงเส้นชัยนั้นได้ เฉกเช่นที่ Anthony Robbins (นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ชาวอเมริกัน) ได้กล่าวไว้... "The only impossible journey is the one you never...

Post#3-164: "ชัวร์" หรือ "มั่วนิ่ม"

Post#3-164: เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมานี้เอง ผมมีโอกาสได้ประชุมร่วมกับ Investor กลุ่มหนึ่ง...แน่นอนว่าเนื้อหาสาระหลักๆ ของการพูดคุยกันนั้น ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า ประเด็นในเรื่องผลตอบแทนทางการเงิน ไม่ว่าแผนงานจะสวยหรูเว่อวังอลังการเพียงใด...แต่ถ้าผลลัพธ์ทางธุรกิจไม่น่าดึงดูดเพียงพอ ก็เป็นอันว่า "จบ" หลายๆ ครั้ง ของการพูดคุยกับ Investor จึงมักจะเริ่มคุยเรื่องผลย้อนกลับไปหาเหตุ ... หากว่าผลลัพธ์สุดท้ายดูน่าสนใจ...Investor ก็จะเริ่มถามรายละเอียดว่าแนวทางในการทำงานเป็นยังไง มึจุดเสี่ยงตรงไหนบ้าง ทั้งนี้เพราะ Investor ต้องการความมั่นใจว่า ทุกบาทที่ลงทุนไปนั้น จะผลิดอกออกผลกลับมาเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่า ว่าอันที่จริงแล้ว...ผมค่อนข้างจะชอบแนวทางของการพูดคุยจากผลไปหาเหตุของ Investor มากเอาการอยู่ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ก็คือ มันวางอยู่บนพื้นฐานของการสืบค้น "ความเป็นไปได้" มากกว่าการถามไถ่ในเรื่อง "ความฝัน" ... ใครที่เป็นหัวหน้างานลองนำวิธีนี้ไปใช้ดูก็ได้ครับ...เพราะถ้าลูกน้องของเรามีตรรกะที่ดีจริง และทำการบ้านในเรื่องการวางแผนมาจริง... ก็รับรองได้ว่า เค้าจะ...

Post#3-163: มองเห็นแง่งามของชีวิต

Post#3-163: มีเพื่อนชาวต่างชาติที่ผมรักมากคนหนึ่ง ส่งข้อความต่อไปนี้มาให้...อ่านแล้วผมก็รู้สึกว่า นี่เป็นตัวอย่างที่สอนให้เรามองหาแง่งามจากสิ่งที่เราคิดว่าแย่ ได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การเขียนแบบประชดประชันครับ...แต่เป็นมุมมองที่ผมต้องบอกว่า ใครที่บอกตัวเองให้ยอมรับแบบนี้ได้จริง ก็ต้องถือว่า เป็นสุดยอดคนมากๆ ออกจะยาวหน่อยนะครับ...แต่ก็อยากให้อ่านและคิดตามไปด้วย ... เค้าว่าไว้แบบนี้ครับ... I am thankful for...(ฉันรู้สึกขอบคุณเหลือเกินกับ...) -> The taxes I pay because it means that I am employed. (ภาษีที่ฉันจ่าย เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีงานทำ) -> The clothes that fit a little too snug because it means I have enough to eat. (เสื้อผ้าที่อาจจะคับไปสักหน่อย เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีอันจะกินอยู่บ้าง) -> My shadow who watches me work because it means I am out in the sunshine. (เงาของฉันที่กำลังเฝ้ามองฉันทำงาน เพราะนั่นหมายความว่า ฉันกำลังอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่อบอุ่น) -> A lawn that has to be mowed, window that have to be washed and gutters that need fix...

Post#3-162: Life is too ironic...

Post#3-162: ไม่แน่ใจว่าวาทะต่อไปนี้เป็นของใคร แต่ว่าสอนใจได้ดีเหลือเกินครับ เค้าว่าไว้ว่า... "Life is too ironic. It takes sadness to know what happiness is, noise to appreciate silence, and absence to value presence." แปลตามสำนวนของผมว่า "ชีวิตเรานี้ช่างประหลาดเหลือ เราจำต้องผ่านทุกข์เพื่อให้รู้ว่าสุขเป็นอย่างไร, เสียงวุ่นวายทำให้รู้แง่งามแห่งความเงียบ และความไม่มีจะทำให้ซาบซึ้งถึงการมีอยู่" ... ใครที่มีเชื้อสายจีน คงพอจะรู้จักสัญลักษณ์หยิน-หยางของลัทธิเต๋ากันบ้างนะครับ สัญลักษณ์นี้ก็เปรียบเสมือนบทสรุปของวาทะข้างต้นเช่นกัน เสมือนจะสอนใจเราว่า ในดำมีขาว...เฉกเช่นกับในขาวมีดำ นั่นก็หมายความว่า เราอาจจะค้นพบความสุขได้ในขณะที่จมดิ่งอยู่ในความทุกข์ และเราควรรู้ว่าความสุขนี้หนอมิได้ยั่งยืนตลอดกาล ... ยอดคนจึงเป็นผู้เข้าถึงความจริงแท้นี้...สามารถมองทะลุไปที่แก่นแห่งชีวิต, เข้าใจมัน และอยู่กับความขัดแย้งนั้นได้อย่างเท่าทัน เข้าถึงนะครับ...มิใช่เข้าใจ เพราะเข้าใจใครก็เข้าใจได้ แต่คนที่เข้าถึง หมายถึงคนที่มีสติระลึกถึงความจริงแท้นี้ จนวางใจเป็นอุเบกขาได้...

Post#3-161: EQ บกพร่อง

Post#3-161: ฟังข่าวเรื่องนักบินของสายการบินแห่งหนึ่งที่หยุดบินเพื่อประท้วงแล้ว ต้องบอกว่าถ้าเป็นความจริง คงต้องขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงโทษให้จงหนัก ค่าที่การละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะนี้ เป็นไปในลักษณะจงใจ และส่งผลให้องค์กรและผู้โดยสารต้องเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง และนี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า EQ นั้น เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำงาน ... ส่วนตัวผมเชื่อว่า ผู้บริหารตำแหน่งงานสูงๆ หรือใครก็ตามที่ทำงานที่ต้องรับผิดชอบหรือส่งผลกับชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนนั้น...EQ มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่า IQ ลองคิดภาพ นักบินที่มี EQ ต่ำ เกิดไปทะเลาะกับใครหรือมีใครขัดใจขณะกำลังขับเครื่องบินอยู่...อะไรจะเกิดขึ้นได้บ้าง? หรือลองคิดภาพเจ้านายที่หย่อน EQ ซึ่งมักจะเป็นพวก ego สูงจนเกินเยียวยา...สุดท้ายไม่รู้จะนำพาชีวิตของลูกน้องไปอยู่จุดไหน? ... อยากมี IQ ที่สูงขึ้น ก็ต้องหมั่นขัดเกลาสมอง ต้องฝึกคิดให้มาก ฟังให้มาก ส่วนถ้าอยากมี EQ ให้มากขึ้น ก็ต้องหมั่นขัดเกลาอารมณ์ให้ดี อย่าให้สติหลุดบ่อยเกินควร หากฝึกตนให้มี EQ ที่สูงขึ้นได้ ก็จะช่วยให้ IQ พัฒนาขึ้นได้ไม่ยาก...แ...

Post#3-160: Love Quotes for your Valentine's

Post#3-160: ความรักเป็นสิ่งที่ไม่อาจทำความเข้าใจด้วยสมอง...หากแต่ต้องทำความเข้าใจด้วยหัวใจ เมื่อใดที่คุณรู้สึกว่าหัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก...เมื่อนั้นคุณจะรู้สึกว่าคุณถูก "เติมเต็ม สำหรับผมแล้ว...ที่สุดของความรัก...ก็คือการที่เราจะมีโอกาส grow old together ไปกับใครสักคนที่เรารักและรักเรา ... บางคนอาจยังไม่เจอคนๆ นั้น, บางคนอาจกำลังนั่งกุมมือคนๆ นั้นอยู่, บางคนอาจท้อแท้และสิ้นหวังกับความรัก และบางคนอาจกำลังเชิดหน้าบอกกับตัวเองว่า อยู่คนเดียวก็ดีแล้ว วันนี้ผิดหวังในความรัก ใช่ว่าวันข้างหน้าจะต้องผิดหวังตลอดไป...ถามตัวเองให้ดี ดูตัวเองให้แน่ ว่าที่แพ้ในเกมรัก เพราะตัวเราหรืออีกฝ่ายกันแน่? อย่างน้อยช่วงที่รักใคร...หัวใจก็อบอุ่น หรือมิใช่? ดังนั้นแล้ว...ไม่ว่าจะยังไง...ความรักก็ยังเป็นสิ่งที่สวยงาม ... ว่าแล้ว เราก็ไปทัศนานิยามแห่งความรักพร้อมๆ กันดีกว่าครับ ^^ 1. "You don't need someone to complete you. You only need someone to accept you completely." (Cr: inspirationboost.com) แปลว่า "คุณไม่ได้ต้องการใครสักคนมาเติมเต็มคุณหรอก คุณแค่ต้องการ...

Post#3-159: สู้ต่อไป...อย่าได้ถอย

Post#3-159: หลายๆ ครั้ง เรามักจะได้รับคำบอกเล่า ให้เราหัดเป็นคนมองโลกในแง่ดีบ้าง คิดในแง่บวกบ้าง แต่เราเองก็รู้ว่า การมองโลกในแง่กีและคิดในแง่บวกให้ได้อย่างสม่ำเสมอนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเอาเสียเลย แต่แท้ที่จริงแล้ว การมองโลกในแง่ดีและการคิดในแง่บวก ไม่ได้หมายความว่า เราต้องลืมความเลวร้ายที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิตไปเสียทั้งหมด ... ลองมาพิจารณาวาทะต่อไปนี้ดูครับ... "Being positive doesn't mean ignoring the negative. Being positive means overcoming the negative." แปลว่า "การมองโลกในแง่ดี มิได้หมายความว่า จะต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในเรื่องร้ายๆ...หากแต่การมองโลกในแง่ดีนั้น หมายถึงการเอาชนะเรื่องราวร้ายๆ ให้ได้ต่างหาก" ... เราต่างก็รู้ดีว่า ชีวิตมิอาจมีแต่วันคืนที่สวยงาม และบางครั้งชีวิตก็ต้องเจอกับความเลวร้ายและหายนะที่ถาโถมเข้ามาพร้อมๆ กัน หากเราต้องการจะผ่านพ้นวันเลวคืนร้ายเหล่านั้นให้ได้...คงต้องเริ่มจากความตั้งมั่นของเราก่อน...ตั้งมั่นที่จะผ่านมันไปให้ได้ ต้องเตือนใจเราเองให้ "สู้" ครับ...แม้ว่ามันจะเหนื่อยยาก...แม้ว่ามันจะท้อแท้ .....

Post#3-158: เรื่องส่วนตัวที่กระทบส่วนรวม

Post#3-158: เมื่อช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มีข่าวแซว Tim Cook เรื่องที่เค้า post ภาพถ่ายผ่าน Twitter แล้วปรากฎว่าภาพนั้นเบลอ ไม่ต้องสงสัยว่าภาพนั้นต้องถ่ายด้วย iPhone อย่างแน่นอน... ถ้าภาพนี้ไม่ได้ถ่ายโดย Tim Cook มันก็คงไม่มีปัญหาอะไรเลย...แต่เพราะเค้าคือ CEO ของ Apple ภาพที่ว่าก็เลยเป็นเรื่องเสียหน้าของชาว Apple ไปโดยปริยาย ... ใครที่ทำหน้าที่ผู้นำองค์กร ต่างอาจมีโอกาสเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้าสักวัน... เรื่องเล็กๆ และธรรมดาสามัญ, เรื่องที่ใครๆ ก็อาจจะพลาดกันได้ หรือเรื่องที่ดูไม่น่าจะเป็นประเด็นอะไร...แต่มันอาจจะกลับกลายเป็นเรื่องที่กระทบ Corporate Image ได้ หากว่าคนที่พลาด ดันกลายเป็น "ผู้นำ" ขององค์กร ภาพเบลอจาก iPhone ถ่ายโดย Mr.Tim Cook อาจเป็นเรื่องธรรมดา แต่ภาพเบลอจาก iPhone ที่ถ่ายโดย Mr.CEO of Apple กลับกลายเป็นเรื่อง "หน้าแตก" ... บ่อยครั้งที่คนที่เป็นผู้นำองค์กรนั้น ตกอยู่ในสถานะที่ไม่อาจถอด "หัวโขน" ออกได้...แม้ว่าจะอยู่ในเวลาส่วนตัว เฉกเช่นใครก็ตามที่เป็น "บุคคลสาธารณะ" หรือบุคคลที่อยู่ในความสนใจของสังคม เช่น ดาราดังๆ, C...

Post#3-157: กระโจนขึ้นบันได

Post#3-157: ช่วงเย็นวันนี้ ผมมีโอกาสได้คุยกับอดีตลูกน้องท่านหนึ่ง (สมมติว่าชื่อน้อง C นะครับ)...หลักๆ แล้วเราก็แลกเปลี่ยนมุมมองกันในเรื่องของการเปลี่ยนงาน น้อง C เล่าว่า เธอไม่ได้ปลื้มกับงานที่ทำอยู่ในตอนนี้สักเท่าไหร่...จนใจก็แต่เธอพึ่งมาทำงานนี้ได้ไม่นาน อยากจะอยู่ให้ครบปีก่อน ผมฟังแล้วก็ยิ้ม แล้วก็ถามเธอต่อว่า ทำไมต้องทำให้ครบปีด้วยล่ะ อะไรคือเหตุผล? น้อง C บอกว่า เธอไม่อยากให้ประวัติการทำงานดูแย่ เลยอยากอยู่ให้ครบปีก่อน...อีกอย่าง ที่นี่ให้เงินเดือนเยอะกว่าที่เดิมด้วย งั้นผมขอถามท่านอื่นๆ บ้างดีกว่าครับ ว่าเหตุผลนี้เป็นคำตอบที่ดีพอหรือไม่...ให้เวลาคิด 5 นาทีครับ ^^ ... ผมบอกน้อง C ว่า สำหรับผู้บริหารแล้ว เวลาดู CV ของผู้สมัคร ไม่ว่าจะทำงานที่ไหนไม่ครบปี, ครบปี หรือนานกว่านั้นนิดๆ ก็ไม่ทำให้ความสงสัยนั้นต่างกัน ถ้าประวัติโดยรวมของการทำงานดูดี ไม่ได้ย้ายงานบ่อยๆ แล้ว การจะอยู่ที่ใดที่หนึ่งในช่วงเวลาที่สั้นไปบ้าง...ตราบใดที่ผู้สมัครสามารถให้เหตุผลที่ "เข้าท่า" และ "เต็มไปด้วยตรรกะ" ได้...ผมก็ไม่เห็นว่า จะเป็นการทำให้ CV แย่แต่อย่างใด แต่ประเด็นที่ผ...

Post#3-156: ภาพลวง vs ภาพจริง

Post#3-156: บ่ายแก่ๆ ของวันนี้ ผมได้รับโอกาสให้เข้าพบนักธุรกิจใหญ่ระดับประเทศ ท่านหนึ่ง...ทุกครั้งที่ผมได้พบท่าน ผมก็จะกลับออกมาพร้อมข้อคิดและแนวทางในการทำงานอยู่เสมอ สำหรับวันนี้ก็เช่นกันครับ...ตอนหนึ่งของการสนทนา ท่านก็กรุณาให้ข้อคิดเกี่ยวกับภาพลวงตาและภาพจริง ลองอ่านแล้วคิดตามดูนะครับ ... โดยมากแล้ว เรามักจะโดนหลอกให้ติดกับดักบางอย่างโดยไม่รู้ตัว เช่นว่า มีบางครั้งเราก็ตอบตัวเองไม่ได้ ว่าเราซื้อสินค้าชิ้นนั้น ชิ้นนี้ มาทำไม? ลองนึกย้อนดูครับ...ทำไมเราถึงซื้อสินค้าที่ลดราคาจากป้ายมากๆ, ทำไมเราซื้อสินค้าที่ขายราคาพิเศษเมื่อซื้อทีละเยอะๆ หรือทำไมเราซื้อสินค้าที่แถมนั่น นู่น นี่ มากมาย? ส่วนกรณีเราเป็นช่องทางจำหน่ายก็เช่นกัน...บางครั้งเราอาจไปติดกับดักกับคู่ค้าที่เสนอส่วนแบ่งทางการขายสูงๆ ทำให้เราคาดหวังไปกับกำไรที่มากๆ ทั้งที่จริง เราจะได้กำไรก็ต่อเมื่อเราขายสินค้าได้เท่านั้น แปลว่า แม้จะให้ส่วนแบ่งสูงๆ แต่คู่ค้านั้นตั้งราคาสินค้าสูงเกินพอดี, ไม่มีแผนการตลาดที่เหมาะสม ก็ไม่อาจทำให้เราได้กำไร เพราะขายสินค้าไม่ได้ ... จึงสรุปบทเรียนที่ท่านสอนได้ว่า...ไม่ว่าเราจะเป็นคนซ...

Post#3-155: อยู่คนเดียว...ระวังความคิด

Post#3-155: เค้าว่ากันว่า ปัญหาส่วนใหญ่ในชีวิตของคนเรา มักจะเกิดจากเราคิดไปเอง กลัวไปเอง...ผมเองก็ไม่ทราบว่า "เค้า" ที่ว่าน่ะ เป็นใครกันแน่ แต่เมื่อลองมานึกดูดีๆ ผมก็เห็นว่า ที่เค้าว่ากันมาก็มีส่วนจริงไม่น้อยเลย... เวลาเราหมกหมุ่นจมจ่อมอยู่กับอะไรสักอย่าง มันก็มักจะกลายเป็นเรื่องคาใจ ทำให้เราคิดวกไปเวียนมาอยู่ในหัวของเราแบบไม่รู้จักจบจักสิ้น ยิ่งถ้าเป็นเรื่องร้ายๆ สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นสะกดจิตตัวเองให้คิดมาก...เลยเถิดไปจนถึงฆ่าตัวตาย ก็มีให้เห็นกันดาษดื่น ... ดังนั้น เมื่อไม่รู้จักคุมสติให้ดีๆ แล้ว ก็จะทำให้ความคิดเกิดการฟุ้งซ่าน...และเมื่อฟุ้งซ่านก็จะทำให้เราหลงไปในทางที่ผิดได้ง่ายๆ สุภาษิตไทยก็เตือนไว้หนักหนาว่า "อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่กับมิตรให้ระวังคำพูดจา" ซึ่งก็ชัดเจนว่า เจ้าความคิดฟุ้งซ่านนั้นหนา น่ากลัวไม่น้อยเลยจริงๆ Lisa M. Hayes (โค้ชด้านสัมพันธภาพและนักเขียน) ก็เตือนไว้เช่นกันว่า "Be careful how you are talking to yourself because you are listening." แปลว่า "จงระมัดระวังในเรื่องที่คุณพูดกับตัวคุณเอง เพราะตัวคุณเองก...

Post#3-154: What you know vs What you heard

Post#3-154: ระหว่างรอประชุมเช้านี้ ผมไปเห็นวาทะนี้เข้าแล้วก็ถูกใจเป็นอย่างยิ่งครับ...อ่านแล้วรู้สึกว่า ถ้าทุกคนทำแบบนี้ได้...โลกก็คงน่าอยู่และวุ่นวายน้อยลงกว่านี้มากทีเดียว วาทะนั้นว่าไว้ว่า... "Always believe in what you know about me, not what you heard about me." แปลว่า "โปรดเชื่อเฉพาะสิ่งที่ท่านรู้เกี่ยวกับข้าพเจ้า มิใช่สิ่งที่ท่านได้ยินมาเกี่ยวกับข้าพเจ้า" ... ไม่น้อยครั้งเอาเสียเลย ที่เราตัดสินผู้คน มิใช่จากการรู้จักมักคุ้นกับคนๆ นั้น แต่กลับเป็นอย่างที่วาทะข้างต้นได้บอกไว้...นั่นคือ เรามักตัดสินผู้คนจากเรื่องที่ได้รับฟังมา บางทีเรายังไม่ได้พบคนๆ นั้น ก็พาลไม่ชอบหน้าเค้าไปเสียแล้ว ด้วยเหตุที่เราฟังคนนั้นเล่าที ฟังคนนี้พูดอีกอย่าง พอใจเราอคติ เราก็เลยหาเหตุผลทุกอย่างมาสะกดจิตตัวเราเองว่า คนๆ นั้นเป็นอย่างที่เค้าพูดกันมาจริงๆ ด้วย ตรงนี้ก็ไม่ได้ต่างจากที่เราฟัง "หมอดู" ทำนายทายทักเลยครับ...เพราะเราจะเลือกเชื่อมโยงเหตุการณ์และผู้คนรอบข้างให้ไปสอดคล้องกับสิ่งที่หมอดูทำนายไว้ แล้วเราก็สรุปเอาเองว่า หมอดูทายแม่นจัง ... เวลาผมรับผู้บริหาร...

Post#3-153: วางความผิดพลาด

Post#3-153: "ไม่เคยมีใครที่ไม่ผิดพลาด" คงเป็นหนึ่งในวาทะที่คงไม่มีใครโต้แย้งได้นะครับ แม้ว่าจะมีบางคนที่ไม่ยี่หระกับความผิดพลาด กระทั่งสำนึกก็อาจจะไม่มี แต่ก็มีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อย ที่กลับมิอาจลืมความผิดพลาดของตัวเองได้ ซ้ำร้ายก็มิอาจจะให้อภัยตัวเองได้เลยด้วยซ้ำ แผลใจลักษณะนี้ มักกลายเป็นตราบาปที่ประทับแน่นในความทรงจำ ซึ่งยิ่งคิดถึงมันมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจ็บลึกมากขึ้นเท่านั้น ที่สุดแล้ว ชีวิตของคนที่ไม่อาจลืมความผิดพลาด จึงไม่อาจเดินไปข้างหน้าได้ ด้วยเหตุที่ความโศกาอาดูรได้กลายเป็นโซ่ตรวนที่จองจำใครคนนั้นเอาไว้ ... ในที่สุดแล้ว หากมิอาจวางความผิดพลาดที่ก่อให้เกิดความทุกข์นั้นได้ ใครคนนั้นก็จะไม่มี "ความว่าง" เหลือพอที่จะเติมสิ่งอื่นใดให้กับชีวิต การวางทุกข์ จึงมิใช่การบังคับใจให้ลืมความทุกข์ หากแต่เป็นการรู้จักเตือนใจตนให้รู้ว่าเวลาใดที่ควรจะวางทุกข์ไว้ชั่วคราว และควรต้องเตือนใจตนให้เรียนรู้จากความทุกข์หรือความผิดพลาดนั้นๆ ด้วยเช่นกัน ... ฝรั่งเองก็เข้าใจในเรื่องนี้ครับ...ลองมาดูวาทะต่อไปนี้กัน "Don't carry your mistakes around with ...

Post#3-152: กำลังใจในการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ

Post#3-152: ค่ำนี้ผมอยู่ในงานเปิดตัวสินค้าใหม่ในกรุงย่างกุ้ง...จะว่าไป บรรยากาศในงานก็ไม่ต่างจากงานเปิดตัวสินค้าทั่วๆ ไปในกรุงเทพฯ สักเท่าไหร่ เรียกให้ถูก น่าจะบอกว่าฝีมือของ Event Organizer ที่นี่ ถ้าจะเป็นรองจากบ้านเรา ก็ต้องบอกว่า คงต้องถึงกับตัดสินด้วยภาพถ่าย ด้วยความที่สินค้าใหม่ๆ จากหลากหลายประเทศทั่วโลก ต่างพากันมาที่เมียนมาร์กันแบบไม่ได้หยุดหย่อน ดังนั้น มาตรฐานของ Launching Event จึงได้รับการยกระดับขึ้นแบบก้าวกระโดด ... แต่จะอย่างไรเสีย งานเปิดตัวเมื่อต้องการขายสินค้าหรือแนะนำบริการใหม่ๆ ก็ยังถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับชาวเมียนมาร์ เสมือนเป็นการบอกกล่าวอย่างเป็นทางการให้กับทุกส่วนที่เกี่ยวข้องรับรู้ ว่าจะเริ่มล่ะนะ ลุยกันจริงๆ แล้วนะ...ไม่ใช่มางุบงิบส่งสินค้าเข้าไปขายกับเงียบๆ นอกจากนั้น ก็เพื่อทำให้คู่ค้าทั้งหลายได้มีความมั่นใจ และได้รับรู้อย่างเป็นทางการว่า แผนงานการตลาดและช่องทางการจำหน่ายจะเป็นเช่นใด ... อีกทั้ง ผมมองว่า งานเปิดตัวนั้น ก็ถือเป็นการเตรียมพร้อมครั้งใหญ่ ปลุกให้ทุกคนในองค์กรเกิดความฮึกเหิมและเตรียมพร้อมที่จะสู้ เมื่อมีกำลังใจดีในช่วงเริ่...

Post#3-151: โอกาสของธุรกิจไทยในเมียนมาร์

Post#3-151: เช้าวันนี้ ผมได้รับเกียรติจากนักธุรกิจใหญ่ของเมียนมาร์ ให้เข้าพบเพื่อเจรจาเรื่องความเป็นไปได้ของธุรกิจใหม่ ต้องบอกว่า วิสัยทัศน์ของท่านนั้นยอดเยี่ยมไม่แพ้นักธุรกิจใหญ่ๆ ของไทยเราเลย แม้แต่น้อย...และนักธุรกิจรุ่นใหม่ๆ รวมไปถึง White Collar ของเมียนมาร์นั้น ต่างก็มีมาตรฐานสูงไม่ด้อยกว่าบ้านเราแน่ๆ ด้วยความที่เมียนมาร์พึ่งจะเปิดประเทศได้ไม่นาน จึงต้องถือว่าเป็นประเทศเป้าหมายที่น่าจับตามองจากทั่วโลก...แต่ประเทศที่น่าจะได้เปรียบจากการมาขยายตลาดที่สุด คงมีแค่สิงคโปร์และไทย ... สิงคโปร์นั้นได้เปรียบในเรื่อง Know-how และเม็ดเงินลงทุน...ส่วนไทยเรานั้นได้เปรียบในเรื่อง Strategic Location รวมไปถึงเรารู้นิสัยใจคอและ Life Style ของชาวเมียนมาร์ดีกว่าชาติอื่นๆ ที่สำคัญชาวเมียนมาร์นั้น ใช้ของไทยทั้งสินค้าอุปโภคและบริโภคมาช้านานแล้ว ผ่านทาง Border Trade รวมไปถึงแรงงานเมียนมาร์ก็เป็นส่วนสำคัญที่นำสินค้าจากบ้านเราไปเผยแพร่ ชาวเมียนมาร์เองก็ค่อนข้างสนิทใจกับการค้าขายกับคนไทยมากกว่าชาติอื่น...อาจเพราะทั้ง 2 ประเทศ ต่างก็ผูกพันกันมาอย่างยาวนานนับหลายร้อยปี ... ผมโชคดีที่มี Local...

Post#3-150: คำถามที่ไม่มีคำตอบ vs คำตอบที่ไม่ต้องการให้สงสัย

Post#3-150: เคยสงสัยมั๊ยครับว่า "ศาสนา" กับ "ปรัชญา" ต่างกันยังไง? สารภาพว่า ก่อนผมจะพบคำตอบนี้ ผมแยกไม่ออกเอาจริงๆ ว่า คำสอนไหนที่น่าจะเป็นศาสนาหรือปรัชญากันแน่...ค่าที่คำสอนต่างๆ ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องดีและสอนใจเราทั้งสิ้น เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฝึกความคิดเราได้เป็นอย่างดี ผมเลยอยากจะชวนให้ลองคิดตามดูนะครับ ว่าทั้ง 2 เรื่องนี้ ต่างกันยังไงแน่ ผมให้เวลา 10 นาที เลยครับ ... จนถึงตรงนี้ ผมเองก็ยังไม่อาจชี้ชัดลงไปได้ ว่าการตีความต่อไปนี้ ของผู้ให้นิยามของความต่างระหว่างศาสนากับปรัชญา จะถูกต้องหรือไม่ แต่ต้องบอกว่า ผมชอบการตีความของเค้ามาก และยังหานิยามที่ดีกว่าเค้าไม่ได้เลย...น่าเสียดายที่ไม่ทราบว่า ใครเป็นผู้นิยามไว้ครับ เค้าคนนั้น ว่าไว้ว่า... "Philosophy: Questions that may never be answered. ("ปรัชญา: คำถามที่อาจไม่มีวันได้รับคำตอบ) Religion: Answers that must never be questioned." (ศาสนา: คำตอบที่ไม่ควรต้องสงสัย (หรือตั้งคำถาม)") ... ผมลองวิเคราะห์ตามดู จึงเห็นด้วยมากๆ ครับ เพราะเท่าที่สังเกตดูนั้น ศาสนาส่วนใหญ่ จะเ...

Post#3-149: จะพยายาม

Post#3-149: โดยความเป็นจริง ผมชอบคนที่พยายาม แต่ผมไม่ค่อยชอบคนที่พูดว่า "จะพยายาม" เปล่าครับ...ผมไม่ได้เล่นลิ้น หากแต่รู้สึกแบบนี้จริงๆ เหตุเพราะการกระทำกับคำพูดนั้น มันยาก-ง่ายแบบต่างกันสุดขั้ว และผมเชื่อว่า "การกระทำนั้น สำคัญกว่าคำพูด" มันง่ายที่จะพูดว่า "จะพยายาม" แต่การกระทำต่างหากที่เป็นตัวบอกว่า เราได้ "พยายาม" อยู่ จริงๆ หรือไม่? ... แม้ว่า คนพูดอาจจะมีความตั้งใจจริงๆ หากแต่ความตั้งใจเพียงอย่างเดียว ก็มิอาจทำให้ความพยายามนั้น สามารถถูกจับต้องได้ สุดท้ายคำพูดว่า "จะพยายาม" มันจึงกลายเป็นเพียงแค่ "ลมปาก" ที่ไม่อาจเกิดขึ้นจริงเสียที และมากครั้งที่ การพูดว่า "จะพยายาม" อาจเป็นแค่คำพูดส่งๆ เพื่อเอาตัวรอดของคนที่ไม่ค่อยรับผิดชอบหลายๆ คน ...เอาไว้ใช้เป็นไม้ตายเวลาโดนต่อว่าถึงผลงานที่ล้มเหลวและผิดพลาด ... ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด ลงท้ายแล้ว คำว่า "จะพยายาม" ก็จะเป็นได้แค่ความอยากหรือคำพูดที่ปราศจากการลงมือ ดังนั้น คนที่พูดว่า "จะพยายาม" จึงต่างจากคนที่กำลัง "พยายาม"...

Post#3-148: เคราะห์ซ้ำกรรมซัด

Post#3-148: เชื่อว่าทุกคนคงเคยผ่านช่วงที่ดูเหมือนอะไรต่อมิอะไร ก็ไม่เป็นใจอะไรกับเราเลยสักอย่าง แปลกตรงที่เรื่องร้ายๆ ทั้งหลาย มักให้ต้องบังเอิญ มาประเดประดังเข้าหาเราพร้อมๆ กันเสียอีกด้วย เช่น ผิดนั่นพลาดนี่, ทะเลาะกับที่บ้าน, แฟนเลิก, หมาป่วย, หุ้นตก, เงินหาย, ยอดขายร่วง, ตกงาน, รถชน และอีกสารพัดเรื่อง ใครเจอหลายๆ เรื่องเข้าไปพร้อมๆ กันแบบนี้...แม้ไม่ถึงกับล้มทั้งยืน ก็อาจจะมีมึนๆ และซวนเซกันบ้าง ผมเข้าใจสภาพของคนที่จมทุกข์ได้ดีครับ เพราะผมเองก็เคยผ่านสภาพนั้นมาเช่นเดียวกับหลายๆ คน...มันเป็นธรรมดาโลกจริงๆ (ลองอ่านเพิ่มใน Post#86 นะครับ) ... ยังไงก็ตามแต่...เมื่อชีวิตยังไม่สิ้น เราคงมีแต่ดิ้นรนต่อสู้กันต่อไปนั่นแหละครับ เราอาจจะเหนื่อย เราอาจจะท้อ แต่ตราบเท่าที่เราบอกตัวเองว่า เราจะไม่ยอมแพ้ ผมก็เชื่อว่า เราก็มีโอกาสที่จะลุกขึ้นมาสู้ต่อได้ บางครั้งชีวิตก็เป็นแบบนี้ และบางครั้งโชคชะตาก็เล่นตลกร้ายกับเราแบบนี้ แต่หากเราไม่ถอดใจยอมแพ้ไปเสียก่อน...อย่างไรเสีย ช่วงเวลาร้ายๆ แบบนี้ มันก็จะผ่านไป ... Paulo Coelho (นักเขียนและนักแต่งเพลงชาวบราซิล) เอง ก็แสดงความเห็นไว้เตื...

Post#86: ต้องยิ้มได้เมื่อภัยมา

Post#86: ในยามที่คนเราประสบกับปัญหาต่างๆ มักจะเจอสภาพการณ์ที่เราเรียกว่า "เคราะห์ซ้ำกรรมซัด" อยู่เสมอ เสมือนสวรรค์กำลังทดสอบเราอยู่ ทุกข์ใจนั้นทุกข์แน่ๆ ครับ และผมก็ห้ามใครไม่ให้ทุกข์ไม่ได้ด้วย เพราะผมเองก็มีช่วงเวลาทุกข์ยากเหล่านั้น ไม่ต่างจากคนธรรมดาอื่นๆ ทั่วไป ในความเป็นจริง ใจเราจะวิ่งกลับไปหาสิ่งที่เรากำลังเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา เรียกว่า แทบจะหาเวลาที่ไม่คิดถึงเรื่องที่เป็นทุกข์นี้ไม่ได้เลย อย่างที่เคยคุยให้ฟังไว้หลายครั้งครับ เราอยู่กับความทุกข์ได้ แต่ต้องอยู่อย่างมีสติ อย่าจมอยู่กับความทุกข์นั้นตลอดเวลา หาเวลาอยู่กับปัจจุบันบ้าง ไม่งั้นสติเราจะหลุดลอยครับ นี่แหละครับ ที่ผมเคยเปรียบเปรยไว้ ว่าเข้าใจทุกอย่าง แต่ไม่ได้หมายความว่า รับได้ทุกอย่าง แปลง่ายๆ ว่า "สมอง" เข้าใจ แต่ "หัวใจ" ไม่อยากรับรู้ ทีนี้มันยากตรงที่ "จิตเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน" นี่สิครับ สุดท้าย สมองก็โดนใจครอบงำให้คิดแต่ในเรื่องบั่นทอนตัวเองไปเรื่อยๆ และท้ายสุด ทั้งใจและสมองของเรา ก็เลยถูกความทุกข์ปกคลุมไปอย่างสมบูรณ์แบบ อย่างช่วยไม่ได้ ที่แย่ก็คือ เรื่องแบบนี้ คนนอกอยา...

Post#3-147: ผู้ว่าความ

Post#3-147: ใครที่เคยต้องเป็นท้าวมาลีวราชว่าความมาบ้าง คงเข้าใจได้ดีว่า มันเป็นความน่าปวดหัวเพียงใด จริงมั๊ยครับ? ทั้งสองฝ่ายต่างก็อ้างว่าตัวเองพูดความจริง...ซึ่งเราคงไม่จำเป็นต้องแปลกใจว่า ความจริงของทั้งสองฝ่าย มักจะไม่ตรงกัน เสมอ เหตุเพราะต่างฝ่ายต่างพูดความจริงจากมุมที่ตัวเองต้องการให้เป็น แต่ไม่ค่อยมีใครพูดข้อเท็จจริงออกมา ... เมื่อผมต้องเจอสถานการณ์แบบนี้...ผมไม่เคยลังเลเลยที่จะเรียกทั้งสองฝ่ายมาคุยพร้อมหน้าพร้อมตากัน คุยกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก่อนหรือหลัง...บางครั้งบางที ผู้ว่าความอาจโดนกล่าวหาว่า "ตาชั่ง" เอียง ได้ง่ายๆ ข้อควรระวังที่สำคัญยิ่งอีกจุดหนึ่งก็คือ เราอาจต้องฟัง "เรื่องราว" ไปพร้อมๆ กับการแยก "ข้อเท็จจริง" เรียกง่ายๆ ว่า ต้องแยก "ดราม่า" ออกจากการวิเคราะห์ก่อนนั่นเองครับ ... ทิ้งท้ายไว้นิดนึงครับว่า ไม่ว่าเราจะตัดสินให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ จะต้องมีอีกฝ่ายที่ไม่พอใจ โดยมากถ้าต้องหาคนกลางมาว่าความแบบนี้ ทั้งสองฝ่ายมักถกกันด้วยเหตุผลและตรรกะไม่ค่อยเข้าใจ...แปลว่า ต่อให้เรายกเหตุผลที่ดีปานใดมาอธิบาย ก็มักจะเหนื่อยฟรี ...