Post#3-162:
ไม่แน่ใจว่าวาทะต่อไปนี้เป็นของใคร แต่ว่าสอนใจได้ดีเหลือเกินครับ
เค้าว่าไว้ว่า...
"Life is too ironic. It takes sadness to know what happiness is, noise to appreciate silence, and absence to value presence."
แปลตามสำนวนของผมว่า "ชีวิตเรานี้ช่างประหลาดเหลือ เราจำต้องผ่านทุกข์เพื่อให้รู้ว่าสุขเป็นอย่างไร, เสียงวุ่นวายทำให้รู้แง่งามแห่งความเงียบ และความไม่มีจะทำให้ซาบซึ้งถึงการมีอยู่"
...
ใครที่มีเชื้อสายจีน คงพอจะรู้จักสัญลักษณ์หยิน-หยางของลัทธิเต๋ากันบ้างนะครับ
สัญลักษณ์นี้ก็เปรียบเสมือนบทสรุปของวาทะข้างต้นเช่นกัน เสมือนจะสอนใจเราว่า ในดำมีขาว...เฉกเช่นกับในขาวมีดำ
นั่นก็หมายความว่า เราอาจจะค้นพบความสุขได้ในขณะที่จมดิ่งอยู่ในความทุกข์ และเราควรรู้ว่าความสุขนี้หนอมิได้ยั่งยืนตลอดกาล
...
ยอดคนจึงเป็นผู้เข้าถึงความจริงแท้นี้...สามารถมองทะลุไปที่แก่นแห่งชีวิต, เข้าใจมัน และอยู่กับความขัดแย้งนั้นได้อย่างเท่าทัน
เข้าถึงนะครับ...มิใช่เข้าใจ เพราะเข้าใจใครก็เข้าใจได้ แต่คนที่เข้าถึง หมายถึงคนที่มีสติระลึกถึงความจริงแท้นี้ จนวางใจเป็นอุเบกขาได้ตลอดเวลา
รู้ว่าเมื่อชีวิตมืดมิด ไม่นานความสว่างจักมาเยือน, รู้ว่าทุกข์หรือสุขเป็นสิ่งชั่วครู่ และรู้ว่าทั้งความสุขและความทุกข์เกิดขึ้นที่ใจ...จึงต้องหยุดที่ใจเท่านั้น
เมื่อรู้เท่าทันชีวิต...จึงรู้ว่าเมื่อใดควรถือและเมื่อใดควรวาง...และรู้เท่าทันว่า ยึดมั่นต่างจากถือมั่น อีกทั้งปล่อยวางต่างจากปล่อยปละ
ปัจจัตตังโดยแท้ครับ...
https://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20090225233919AAFubkQ
ไม่แน่ใจว่าวาทะต่อไปนี้เป็นของใคร แต่ว่าสอนใจได้ดีเหลือเกินครับ
เค้าว่าไว้ว่า...
"Life is too ironic. It takes sadness to know what happiness is, noise to appreciate silence, and absence to value presence."
แปลตามสำนวนของผมว่า "ชีวิตเรานี้ช่างประหลาดเหลือ เราจำต้องผ่านทุกข์เพื่อให้รู้ว่าสุขเป็นอย่างไร, เสียงวุ่นวายทำให้รู้แง่งามแห่งความเงียบ และความไม่มีจะทำให้ซาบซึ้งถึงการมีอยู่"
...
ใครที่มีเชื้อสายจีน คงพอจะรู้จักสัญลักษณ์หยิน-หยางของลัทธิเต๋ากันบ้างนะครับ
สัญลักษณ์นี้ก็เปรียบเสมือนบทสรุปของวาทะข้างต้นเช่นกัน เสมือนจะสอนใจเราว่า ในดำมีขาว...เฉกเช่นกับในขาวมีดำ
นั่นก็หมายความว่า เราอาจจะค้นพบความสุขได้ในขณะที่จมดิ่งอยู่ในความทุกข์ และเราควรรู้ว่าความสุขนี้หนอมิได้ยั่งยืนตลอดกาล
...
ยอดคนจึงเป็นผู้เข้าถึงความจริงแท้นี้...สามารถมองทะลุไปที่แก่นแห่งชีวิต, เข้าใจมัน และอยู่กับความขัดแย้งนั้นได้อย่างเท่าทัน
เข้าถึงนะครับ...มิใช่เข้าใจ เพราะเข้าใจใครก็เข้าใจได้ แต่คนที่เข้าถึง หมายถึงคนที่มีสติระลึกถึงความจริงแท้นี้ จนวางใจเป็นอุเบกขาได้ตลอดเวลา
รู้ว่าเมื่อชีวิตมืดมิด ไม่นานความสว่างจักมาเยือน, รู้ว่าทุกข์หรือสุขเป็นสิ่งชั่วครู่ และรู้ว่าทั้งความสุขและความทุกข์เกิดขึ้นที่ใจ...จึงต้องหยุดที่ใจเท่านั้น
เมื่อรู้เท่าทันชีวิต...จึงรู้ว่าเมื่อใดควรถือและเมื่อใดควรวาง...และรู้เท่าทันว่า ยึดมั่นต่างจากถือมั่น อีกทั้งปล่อยวางต่างจากปล่อยปละ
ปัจจัตตังโดยแท้ครับ...
https://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20090225233919AAFubkQ
Comments
Post a Comment