Post#3-163:
มีเพื่อนชาวต่างชาติที่ผมรักมากคนหนึ่ง ส่งข้อความต่อไปนี้มาให้...อ่านแล้วผมก็รู้สึกว่า นี่เป็นตัวอย่างที่สอนให้เรามองหาแง่งามจากสิ่งที่เราคิดว่าแย่ ได้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การเขียนแบบประชดประชันครับ...แต่เป็นมุมมองที่ผมต้องบอกว่า ใครที่บอกตัวเองให้ยอมรับแบบนี้ได้จริง ก็ต้องถือว่า เป็นสุดยอดคนมากๆ
ออกจะยาวหน่อยนะครับ...แต่ก็อยากให้อ่านและคิดตามไปด้วย
...
เค้าว่าไว้แบบนี้ครับ...
I am thankful for...(ฉันรู้สึกขอบคุณเหลือเกินกับ...)
-> The taxes I pay because it means that I am employed. (ภาษีที่ฉันจ่าย เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีงานทำ)
-> The clothes that fit a little too snug because it means I have enough to eat. (เสื้อผ้าที่อาจจะคับไปสักหน่อย เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีอันจะกินอยู่บ้าง)
-> My shadow who watches me work because it means I am out in the sunshine. (เงาของฉันที่กำลังเฝ้ามองฉันทำงาน เพราะนั่นหมายความว่า ฉันกำลังอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่อบอุ่น)
-> A lawn that has to be mowed, window that have to be washed and gutters that need fixing because it means I have a home. (สนามหญ้าที่ต้องคอยถาง, หน้าต่างที่ต้องคอยเช็ดล้าง และรางน้ำที่ต้องคอยซ่อม เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีบ้านอยู่)
-> The spot I find at the far end of the parking lot because it means I am capable of walking. (ช่องจอดรถที่อยู่ลึกสุดในลานจอด เพราะนั่นหมายความว่า ฉันยังเดินได้เป็นอย่างดี)
-> All the complaining I hear about our government because it means freedom of speech. (คำวิจารณ์ต่างๆ ที่มีต่อรัฐบาล เพราะนั่นหมายความว่า เราต่างก็มีอิสระที่จะแสดงความเห็น)
-> The lady behind me in church who sings off key because it means I am capable of walking. (หญิงที่ร้องผิดคีย์ผู้ยืนข้างหลังฉันในโบสถ์ เพราะนั่นหมายความว่า ฉันยังได้ยินเสียงอยู่)
-> The huge piles of laundry and ironing because it means my loved ones are nearby. (เสื้อผ้ากองพะเนินที่ต้องซักและรีด เพราะนั่นหมายความว่า มีคนที่ฉันรักอาศัยอยู่ด้วยกัน)
-> The alarm that goes off in the early morning hours because it means that I'm alive. (เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังอยู่ทุกเช้าตรู่ เพราะนั่นหมายความว่า ฉันยังคงมีชีวิตอยู่)
...
หากเราเห็นแง่งามของชีวิตในขณะที่เรากำลังทุกข์ยาก...อย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งที่ช่วยผลักดันให้เราก้าวไปอย่างไม่ยอมแพ้
แง่งามที่เรามองเห็น...ก็ไม่ต่างจาก Oasis กลางความแห้งแล้งและเวิ้งว้างของทะเลทราย...หากเราหยุดเดิน มัวแต่ทอดอาลัย สุดท้ายก็ได้แค่รอความตาย
ดังนั้น การเดินหน้าต่อไปอย่างมีความหวัง แม้ว่ามันอาจจะเหนื่อยยาก...ก็แปลว่าเราเดินเข้าใกล้จุดสิ้นสุดของความลำบากได้อีกก้าวหนึ่ง
มีเพื่อนชาวต่างชาติที่ผมรักมากคนหนึ่ง ส่งข้อความต่อไปนี้มาให้...อ่านแล้วผมก็รู้สึกว่า นี่เป็นตัวอย่างที่สอนให้เรามองหาแง่งามจากสิ่งที่เราคิดว่าแย่ ได้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การเขียนแบบประชดประชันครับ...แต่เป็นมุมมองที่ผมต้องบอกว่า ใครที่บอกตัวเองให้ยอมรับแบบนี้ได้จริง ก็ต้องถือว่า เป็นสุดยอดคนมากๆ
ออกจะยาวหน่อยนะครับ...แต่ก็อยากให้อ่านและคิดตามไปด้วย
...
เค้าว่าไว้แบบนี้ครับ...
I am thankful for...(ฉันรู้สึกขอบคุณเหลือเกินกับ...)
-> The taxes I pay because it means that I am employed. (ภาษีที่ฉันจ่าย เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีงานทำ)
-> The clothes that fit a little too snug because it means I have enough to eat. (เสื้อผ้าที่อาจจะคับไปสักหน่อย เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีอันจะกินอยู่บ้าง)
-> My shadow who watches me work because it means I am out in the sunshine. (เงาของฉันที่กำลังเฝ้ามองฉันทำงาน เพราะนั่นหมายความว่า ฉันกำลังอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่อบอุ่น)
-> A lawn that has to be mowed, window that have to be washed and gutters that need fixing because it means I have a home. (สนามหญ้าที่ต้องคอยถาง, หน้าต่างที่ต้องคอยเช็ดล้าง และรางน้ำที่ต้องคอยซ่อม เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีบ้านอยู่)
-> The spot I find at the far end of the parking lot because it means I am capable of walking. (ช่องจอดรถที่อยู่ลึกสุดในลานจอด เพราะนั่นหมายความว่า ฉันยังเดินได้เป็นอย่างดี)
-> All the complaining I hear about our government because it means freedom of speech. (คำวิจารณ์ต่างๆ ที่มีต่อรัฐบาล เพราะนั่นหมายความว่า เราต่างก็มีอิสระที่จะแสดงความเห็น)
-> The lady behind me in church who sings off key because it means I am capable of walking. (หญิงที่ร้องผิดคีย์ผู้ยืนข้างหลังฉันในโบสถ์ เพราะนั่นหมายความว่า ฉันยังได้ยินเสียงอยู่)
-> The huge piles of laundry and ironing because it means my loved ones are nearby. (เสื้อผ้ากองพะเนินที่ต้องซักและรีด เพราะนั่นหมายความว่า มีคนที่ฉันรักอาศัยอยู่ด้วยกัน)
-> The alarm that goes off in the early morning hours because it means that I'm alive. (เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังอยู่ทุกเช้าตรู่ เพราะนั่นหมายความว่า ฉันยังคงมีชีวิตอยู่)
...
หากเราเห็นแง่งามของชีวิตในขณะที่เรากำลังทุกข์ยาก...อย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งที่ช่วยผลักดันให้เราก้าวไปอย่างไม่ยอมแพ้
แง่งามที่เรามองเห็น...ก็ไม่ต่างจาก Oasis กลางความแห้งแล้งและเวิ้งว้างของทะเลทราย...หากเราหยุดเดิน มัวแต่ทอดอาลัย สุดท้ายก็ได้แค่รอความตาย
ดังนั้น การเดินหน้าต่อไปอย่างมีความหวัง แม้ว่ามันอาจจะเหนื่อยยาก...ก็แปลว่าเราเดินเข้าใกล้จุดสิ้นสุดของความลำบากได้อีกก้าวหนึ่ง
Comments
Post a Comment