Skip to main content

Post#86: ต้องยิ้มได้เมื่อภัยมา

Post#86:
ในยามที่คนเราประสบกับปัญหาต่างๆ มักจะเจอสภาพการณ์ที่เราเรียกว่า "เคราะห์ซ้ำกรรมซัด" อยู่เสมอ เสมือนสวรรค์กำลังทดสอบเราอยู่

ทุกข์ใจนั้นทุกข์แน่ๆ ครับ และผมก็ห้ามใครไม่ให้ทุกข์ไม่ได้ด้วย เพราะผมเองก็มีช่วงเวลาทุกข์ยากเหล่านั้น ไม่ต่างจากคนธรรมดาอื่นๆ ทั่วไป

ในความเป็นจริง ใจเราจะวิ่งกลับไปหาสิ่งที่เรากำลังเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา เรียกว่า แทบจะหาเวลาที่ไม่คิดถึงเรื่องที่เป็นทุกข์นี้ไม่ได้เลย อย่างที่เคยคุยให้ฟังไว้หลายครั้งครับ เราอยู่กับความทุกข์ได้ แต่ต้องอยู่อย่างมีสติ อย่าจมอยู่กับความทุกข์นั้นตลอดเวลา หาเวลาอยู่กับปัจจุบันบ้าง ไม่งั้นสติเราจะหลุดลอยครับ

นี่แหละครับ ที่ผมเคยเปรียบเปรยไว้ ว่าเข้าใจทุกอย่าง แต่ไม่ได้หมายความว่า รับได้ทุกอย่าง แปลง่ายๆ ว่า "สมอง" เข้าใจ แต่ "หัวใจ" ไม่อยากรับรู้ ทีนี้มันยากตรงที่ "จิตเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน" นี่สิครับ สุดท้าย สมองก็โดนใจครอบงำให้คิดแต่ในเรื่องบั่นทอนตัวเองไปเรื่อยๆ และท้ายสุด ทั้งใจและสมองของเรา ก็เลยถูกความทุกข์ปกคลุมไปอย่างสมบูรณ์แบบ อย่างช่วยไม่ได้

ที่แย่ก็คือ เรื่องแบบนี้ คนนอกอยากจะช่วยก็ช่วยไม่ได้ซะด้วย ต้องรอให้คนที่กำลังทุกข์นั้น คลายทุกข์ไปบ้าง เพื่อให้ใจเปิด เมื่อใจเปิดแล้ว จึงจะรับฟังเสียงรอบข้างได้บ้าง เมื่อหูเปิดแล้ว ปากเค้าจึงจะเปิดเล่าเรื่องให้คนนอกอย่างเรา พอจะรับรู้และช่วยคิดได้บ้าง

ผมเองก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะปลอบคนที่อยู่ในห้วงทุกข์ยังไง เพราะเวลาเจอความทุกข์ซะเอง ก็แทบจะกระอักเลือดตายเหมือนกัน เปรียบให้เข้าใจง่ายๆ ก็เหมือน คนที่กำลังทุกข์นั้น เข้าไปอยู่ในห้องเก็บเสียงล่ะครับ เราเป็นคนที่อยู่ข้างนอก ตะโกนให้คอแตก คนข้างในก็ไม่ได้ยิน พอนึกภาพตามออกใช่มั๊ยครับ

ฉะนั้น เวลาที่เจอคนจมอยู่ในห้วงทุกข์ ต้องรู้จังหวะครับ ต้องรู้ว่า เค้าอยู่ใน stage ไหน ถ้าเค้าอยู่ stage แรก ผมว่า เราให้กำลังใจเค้าก็พอ หากว่า เค้าอยู่ในช่วงคลายทุกข์ลงบ้าง เริ่มเข้าสู่ stage 2 (โดยมาก เพราะทุกข์จนสุดๆ แล้วนั่นแหละครับ เค้าจึงอยากจะหาทางพ้นทุกข์แล้ว) เราก็พอจะปลอบใจได้ บ้าง และถ้าเค้าเข้าสู่ stage 3 และเห็นว่า เราพอจะไว้ใจได้ เค้าจะเล่าให้เราฟังเองแหละครับ ไม่ต้องไปเซ้าซี้ หรือคะยั้นคะยอให้เค้าพูด

ส่วนมากเวลาเราปลอบคนที่กำลังทุกข์ เรามักบอกเค้าให้ "มองโลกในแง่ดี" ซึ่งผมก็ว่าไม่ได้ผิด แต่ผมคิดว่า เรายังไม่ได้ช่วยเค้าในการคิดแก้ปัญหา เราเพียงแต่ช่วยเค้า "เบี่ยง" หรือ "เลี่ยง" ปัญหา รึเปล่า?

ผมมักจะปลอบคนที่กำลังทุกข์ (รวมทั้งใช้เตือนตัวเองเวลาที่ทุกข์ด้วย) ว่า ให้ "มองโลกในแง่จริง" เพราะ เราต้องอยู่กับความจริง ต้องเข้าใจความจริงที่กำลังเกิดขึ้น อย่าหลอกตัวเอง อย่าปลอบใจตัวเองในเวลาที่ต้องคิดถึงความจริงที่กำลังเกิดขึ้น และกำลังจะเกิดขึ้น ไม่งั้น เราจะมัวแต่หมกตัวอยู่กับคำปลอบใจ ซึ่งแม้จะช่วยให้รู้สึกดีในขณะนั้น แต่ไม่ได้ช่วยให้ปัญหาลดลง

และก็ขอฝากว่า ถ้าเราช่วยเค้าไม่ได้ ก็อย่าไปรับปากเค้านะครับ เพราะถ้าสุดท้าย เราทำให้เค้าผิดหวังอีก คราวนี้ เค้าจะหันมาโทษเราแทน หาว่าไปซ้ำเติมเค้าซะยังงั้น มันเหมือนเค้ากำลังจะจมน้ำ แล้วเราไม่รู้วิธีช่วยคนที่กำลังจะจมน้ำ แต่ดันเข้าไปช่วยล่ะครับ สุดท้ายอาจจมทั้งคู่ แย่หนักเข้าไปอีก

แต่บางคนที่กำลังทุกข์ ก็อาจต้องการแค่ใครสักคนฟังเค้าระบายก็เป็นได้นะครับ บางคนต้องการแค่นั้นจริงๆ บางทีอาจขึ้นอยู่กับประเภทของปัญหามากกว่าประเด็นอื่น ต้องวิเคราะห์ให้ดี ก่อนที่จะอาสาเข้าไปช่วยคลายทุกข์ให้คนอื่นนะครับ

ผมเคยเป็นทั้งคนทุกข์และคนปลอบใจคนที่ทุกข์ และไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทไหน ผมก็ว่า ยากทั้งคู่เลยครับ แต่ที่ผมจำได้ดีไม่มีวันลืม ก็คือ ผมจำได้แม่นเลยครับ ว่าใครที่ไม่เคยทิ้งผม ในยามที่ผมทุกข์ที่สุด...

ขออนุญาตนำบทประพันธ์ของท่านพลตรีหลวงวิจิตรวาทการ มาแชร์ต่อเพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้ที่กำลังประสบชะตากรรม "เคราะห์ซ้ำกรรมซัด" ทุกท่าน ให้สามารถข้ามผ่านอุปสรรคนี้ไปได้โดยเร็วครับ...

โลกมนุษย์นี้ไม่มีที่แน่นอน
ประเดี๋ยวเย็นประเดี๋ยวร้อนช่างแปรผัน
โชคหมุนเวียนเปลี่ยนไปได้ทุกวัน
สารพันหาอะไรไม่ยั่งยืน

ชีวิตเหมือนเรือน้อยล่องลอยอยู่
ต้องต่อสู้แรงลมประสมคลื่น
ต้องทนทานหวานสู้อมขมสู้กลืน
ต้องจำฝืนสู้ภัยไปทุกวัน

เป็นการง่ายยิ้มได้ไม่ต้องฝืน
เมื่อชีพชื่นเหมือนบรรเลงเพลงสวรรค์
แต่คนที่ควรชมนิยมกัน
ต้องใจมั่นยิ้มได้เมื่อภัยมา

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...