Post#3-166:
เคยบ้างมั๊ยครับ ที่เรามัวแต่จมจ่อมสำนึกผิดอยู่กับเรื่องผิดพลาดในอดีต แล้วก็ไม่อาจทำใจให้ลืมมันได้?
เวลาที่ยุ่งๆ ก็พอจะลืมๆ ไปได้บ้าง แต่พอว่างทีไร ก็มิวายที่ไอ้เจ้าความรู้สึกสำนึกผิดนี้ ก็มีอันต้องกลับมาเกาะกุมใจเราไปเสียทุกที
ยิ่งเราพยายามจะหาวิธีไถ่ความผิดพลาด กลับยิ่งเหมือนกับเราย้ำให้ความสำนึกผิดนี้ ฝังรากลงในใจเรามากขึ้นเท่านั้น
...
แล้วเคยมั๊ยครับ ที่เรากังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่เราก็มิอาจหักห้ามใจไม่ให้คิดถึงมันได้เช่นกัน?
ความวิตกในเรื่องอนาคตนั้น มักเป็นตัวทำให้จิตของเราฟุ้งซ่านไปได้ร้อยแปดพันประการ ต่างจากการสำนึกผิดในเรื่องราวจากอดีต ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ทำให้จิตของเราหมกมุ่นอยู่กับเรื่องๆ เดียว
แต่ไม่ว่าจะเป็นการผูกตัวเองไว้กับปมอดีตหรือจะเป็นการวิตกจริตอยู่แต่กับเรื่องอนาคต...หากมันมากจนเกินพอดี มันก็หาเป็นประโยชน์ใดๆ กับตัวเราไม่
...
คำพระท่านจึงเตือนเราไว้หนักหนา...ว่าเราควรจะมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันให้มาก อย่ามัวไปผูกอยู่กับอดีตที่แก้ไม่ได้ แล้วก็อย่ามัวแต่ไปฟุ้งกับอนาคตที่ยังมองไม่เห็น
สำนึกผิดนั้นเป็นเรื่องดี...หากแต่ต้องเรียนรู้จากมัน มิใช่จมอยู่กับมัน
คำนึงถึงอนาคตก็เป็นเรื่องอันควร...หากแต่ต้องรู้จักวางแผนและตระเตรียม มิใช่มัวแต่คิดฟุ้งซ่านและกังวลอยู่ร่ำไป
...
Umar ibn al-Khattab (องค์เคลิฟผู้ทรงอิทธิพลและได้รับความเคารพเป็นอย่างสูง-องค์เคลิฟ คือตำแหน่งผู้นำทางศาสนาของประเทศมุสลิม) ได้ทรงโปรดเตือนสติชาวโลกไว้ว่า...
"No amount of guilt can change the past and no amount of worrying can change the future."
แปลว่า "ไม่ว่าจะสำนึกผิดมากเพียงไหน เจ้าก็มิอาจแก้ไขอดีตได้ และไม่ว่าจะวิตกกังวลมากเพียงใด เจ้าก็มิอาจเปลี่ยนอนาคตได้"
เคยบ้างมั๊ยครับ ที่เรามัวแต่จมจ่อมสำนึกผิดอยู่กับเรื่องผิดพลาดในอดีต แล้วก็ไม่อาจทำใจให้ลืมมันได้?
เวลาที่ยุ่งๆ ก็พอจะลืมๆ ไปได้บ้าง แต่พอว่างทีไร ก็มิวายที่ไอ้เจ้าความรู้สึกสำนึกผิดนี้ ก็มีอันต้องกลับมาเกาะกุมใจเราไปเสียทุกที
ยิ่งเราพยายามจะหาวิธีไถ่ความผิดพลาด กลับยิ่งเหมือนกับเราย้ำให้ความสำนึกผิดนี้ ฝังรากลงในใจเรามากขึ้นเท่านั้น
...
แล้วเคยมั๊ยครับ ที่เรากังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่เราก็มิอาจหักห้ามใจไม่ให้คิดถึงมันได้เช่นกัน?
ความวิตกในเรื่องอนาคตนั้น มักเป็นตัวทำให้จิตของเราฟุ้งซ่านไปได้ร้อยแปดพันประการ ต่างจากการสำนึกผิดในเรื่องราวจากอดีต ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ทำให้จิตของเราหมกมุ่นอยู่กับเรื่องๆ เดียว
แต่ไม่ว่าจะเป็นการผูกตัวเองไว้กับปมอดีตหรือจะเป็นการวิตกจริตอยู่แต่กับเรื่องอนาคต...หากมันมากจนเกินพอดี มันก็หาเป็นประโยชน์ใดๆ กับตัวเราไม่
...
คำพระท่านจึงเตือนเราไว้หนักหนา...ว่าเราควรจะมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันให้มาก อย่ามัวไปผูกอยู่กับอดีตที่แก้ไม่ได้ แล้วก็อย่ามัวแต่ไปฟุ้งกับอนาคตที่ยังมองไม่เห็น
สำนึกผิดนั้นเป็นเรื่องดี...หากแต่ต้องเรียนรู้จากมัน มิใช่จมอยู่กับมัน
คำนึงถึงอนาคตก็เป็นเรื่องอันควร...หากแต่ต้องรู้จักวางแผนและตระเตรียม มิใช่มัวแต่คิดฟุ้งซ่านและกังวลอยู่ร่ำไป
...
Umar ibn al-Khattab (องค์เคลิฟผู้ทรงอิทธิพลและได้รับความเคารพเป็นอย่างสูง-องค์เคลิฟ คือตำแหน่งผู้นำทางศาสนาของประเทศมุสลิม) ได้ทรงโปรดเตือนสติชาวโลกไว้ว่า...
"No amount of guilt can change the past and no amount of worrying can change the future."
แปลว่า "ไม่ว่าจะสำนึกผิดมากเพียงไหน เจ้าก็มิอาจแก้ไขอดีตได้ และไม่ว่าจะวิตกกังวลมากเพียงใด เจ้าก็มิอาจเปลี่ยนอนาคตได้"
Comments
Post a Comment