Skip to main content

Post#3-171: React smartly

Post#3-171:
แม้เราจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่า เราไม่อาจจะมีแต่คนที่รักเราได้ทั้งหมด (และหวังว่าเราคงไม่ได้มีแต่คนเกลียดไปเสียทุกคนเช่นกัน) แต่เราเคยลองถามตัวเองบ้างมั๊ยครับ ว่าบางครั้งเราก็เอาใจไปผูกไว้กับคำพูดหรือการกระทำที่คนอื่นมีต่อเรามากไปรึเปล่า?

เท่าที่ผมสังเกตและวิเคราะห์ ผมว่าจริงๆ แล้วคนรอบข้างก็ไม่ได้มีเวลามาใส่ใจเรื่องของเรามากนักหรอกครับ เพราะลำพังเรื่องของเค้าเองก็มากอยู่แล้ว

แต่ที่มันเป็นประเด็น เพราะบางครั้งเราเองก็คิดมากไป หรือบางทีก็คิดไปเอง...แต่บางคนก็อาจจะทำอะไรไปโดยไม่ค่อยคิด หรือทำนิสัยบางอย่างให้ขัดอกขัดใจคนอื่นโดยไม่รู้ตัว

...

ถ้าเรารู้สึกว่า เรากำลังตกเป็นหัวข้อในการสนทนาของคนรอบข้าง หรือเดินเข้าไปวงไหน ก็มีอันวงแตกไปเสียทุกทีแล้วล่ะก็...

เห็นที คงเป็นเวลาที่อาจจะต้องทบทวนตัวเราเองแล้วล่ะครับ ว่าไปทำอะไรไม่เข้าท่าไว้บ้างมั๊ย?

ถ้าใช่...เราก็ควรปรับปรุงตัวเอง เพื่อให้เรากลับไปเป็นส่วนหนึ่งของสังคมรอบข้างได้ เพราะเราต้องอย่าลืมว่า เราอยู่คนเดียวโดยไม่มีสังคมไม่ได้แน่ๆ

แต่ถ้าไม่ใช่...เพราะเรามั่นใจว่า คนหรือกลุ่มคนที่มีปฏิกิริยาที่ไม่ดีกับเรานั้น เป็นฝ่ายหาเรื่อง...ถ้าเป็นแบบนี้ เราก็ต้องทำตามนี้ครับ

"You can't change how people treat you or what they say about you. All you can do is change how you react to it."

แปลว่า "เราไม่อาจเปลี่ยนคนอื่นในเรื่องของวิธีการที่เค้ามีปฏิสัมพันธ์กับเรา หรือวิถีทางที่เค้าพูดถึงเราได้ เราทำได้แค่เปลี่ยนวิธีการที่เราตอบสนองต่อการกระทำหรือคำพูดเหล่านั้น"

...

วิเคราะห์ตัวเองอย่างเป็นกลางที่สุดครับ...ถ้าเราไม่ดีจริงๆ ก็ต้องปรับปรุงตัวเอง แต่ถ้าเราคิดว่าคนอื่นเข้าใจเราผิด ก็จงตอบสนองต่อความเข้าใจผิดเหล่านั้น อย่างสุขุม อย่าบุ่มบ่าม

บางครั้ง การแก้ความเข้าใจผิดบางเรื่องบางอย่าง อาจต้องอาศัยปัจจัยที่แตกต่างกัน...บ้างก็ต้องใช้คนกลาง, บ้างก็ต้องใช้โอกาส และบ้างอาจต้องอาศัยเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

การที่คนอื่นเข้าใจเราผิด อาจเป็นเรื่องเหนือการควบคุม แต่การที่เราตอบสนองต่อความเข้าใจผิดเหล่านั้น เป็นทางเลือกที่เราควบคุมได้แน่ๆ...React smartly นะครับ

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...