Skip to main content

Posts

Showing posts from September, 2014

Post#2-23: ชนะอย่างมีค่า

Post#2-23: ด้วยงานที่รัดตัวสุดๆ ทำให้ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสไปออกรอบเล่นกอล์ฟเลย จู่ๆ วันนี้ก็เลยนึกเรื่องที่กอล์ฟสอนผมได้อีกเรื่อง เลยอยากจะขอมาแชร์ครับ นอกจากกอล์ฟจะมีความใกล้เคียงกับการใช้ชีวิตแล้ว (Post#112) กอล์ฟยังเป็นกีฬาที่สอนให้เรารู้จัก "การสร้างคุณค่าในตัวเองอย่างสมศักดิ์ศรีด้วย" เพราะกอล์ฟเป็นกีฬาที่ต้องแข่งกับตัวเอง เวลาเล่นกอล์ฟ ผู้เล่นที่มัวแต่สนใจว่าคนอื่นทำคะแนนได้เท่าไหร่ มักจะทำคะแนนของตัวเองได้ไม่ดี เพราะมัวแต่จะไปมุ่งเอาชนะคนอื่น แทนที่จะสนใจเกมของตัวเอง ดังนั้น ถ้าวันนั้นเราตั้งเป้าคะแนนที่อยากได้ไว้ในใจ แล้วทำได้ คนเล่นกอล์ฟจะมีความสุขมาก ส่วนเมื่อเอาคะแนนไปเทียบกับเพื่อนหรือคู่แข่งแล้วชนะหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง ถ้าทำคะแนนได้ตามเป้า แต่แพ้คนอื่น ก็ยังไม่เศร้าใจเท่าไหร่ อารมณ์จะประมาณ ชนะทั้งๆ ที่แพ้ (ไม่งงใช่มั๊ยครับ) แต่ถ้าทำคะแนนห่วย แต่ดันชนะเพื่อน เพราะบังเอิญวันนั้น เพื่อนฟอร์มตก ก็จะอยู่ในอารมณ์ ชนะแบบไม่สมศักดิ์ศรี ชีวิตจริงของเราก็ไม่ต่างกันครับ... เราอยากเป็นผู้ชนะ เพราะคู่แข่งทำเต็มที่แล้วยังแพ้เรา หรือเรากลายเป็นผู้ชนะ เพรา...

Post#2-22: ศักดิ์ศรีของมืออาชีพ

Post#2-22: วันนี้ผมต้องเจอกับเรื่องเศร้าเพราะลูกน้องคนสำคัญมาขอลาออก จริงอยู่ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องสามัญเหลือเกินในชีวิตการทำงาน แต่บางครั้งก็ยากจะทำใจ ถ้าคนที่ลาออกเป็นคนที่คุณถูกใจมากๆ สาเหตุที่เค้ามาลาออก เพราะเค้าต้องช่วยธุรกิจครอบครัว ทำให้เค้าไม่สามารถมาทำงานตามเวลาที่บริษัทกำหนดได้ แน่นอนว่า เค้าพยายามอย่างยิ่งที่จะมาให้ทัน แต่เป็นผมก็คงต้องให้ความสำคัญกับครอบครัวก่อน แม้ว่างานในความรับผิดชอบของเค้าจะไม่เสียหาย แต่เค้ากลับเลือกที่จะคุยกับผมอย่างตรงไปตรงมา ว่าเค้าขอแสดงความรับผิดชอบที่ไม่สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบของบริษัทได้ ถ้าเป็นภาษาฟุตบอล ก็อารมณ์ประมาณ "เข้าบอลข้างหลัง" ล่ะครับ หมายความว่า แม้จะไม่ได้เจตนา แต่โทษคือโดนใบแดงสถานเดียว แม้ผมจะเสียดายและเสียใจเพียงใด ผมก็ได้แต่ต้องยอมรับและยกย่องในการตัดสินใจของเค้า นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่ายกย่องของผู้ที่มีความรับผิดชอบสูง มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี และไม่เอาประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง เค้าเลือกทำในสิ่งที่ "ถูกต้อง" มากกว่าสิ่งที่ "ถูกใจ" ซึ่งนี่เป็นคุณสมบัติของผู้ที่จะประสบความสำ...

Post#2-21: Liking what you do

Post#2-21: ช่วงนี้ผมกลับเข้าสู่ "Berserk Mode" ของการทำงานอีกครั้ง T_T แม้จะเป็นวันอาทิตย์อันแสนสบายของทุกคนแบบนี้ ก็เป็นวันที่ผมต้องปิด job งานหลายๆ เรื่อง ถ้าถามว่าเหนื่อยมั๊ย ก็ตอบตรงๆ ว่าเหนื่อย... แต่ในความเหนื่อยกับงานนั้น...ไม่ว่าจะเหนื่อยกายหรือเหนื่อยใจก็ตาม...กลับทำให้ผมรู้สึกว่า ชีวิตผมยังไปข้างหน้าได้ต่อ ลองคิดดูว่า ถ้าต้องเหนื่อยใจเพราะไม่มีงานให้ทำ...ชีวิตจะเดินยังไงต่อ? มีคนน้อยกว่าน้อยที่ได้ทำงานที่ชอบ นั่นแปลว่า คนส่วนใหญ่ของโลกต้องทำงานที่อาจจะไม่ได้เป็นอาชีพในฝัน คนที่ได้งานที่รัก ก็ขอยินดีด้วยครับ แต่คนที่มีงานทำอยู่ (แม้จะไม่ใช่งานที่ใฝ่ฝัน) ผมก็ต้องบอกว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่งาน แต่มันอยู่ที่ทัศนคติที่เรามีต่องานที่รับผิดชอบอยู่ต่างหาก คนที่เป็นมืออาชีพในโลกของการทำงาน ถ้ารับงานมาแล้ว ก็ต้องส่งมอบงานอย่างดีที่สุดเท่านั้น ไม่ว่าเค้าจะชอบงานนั้นหรือไม่ก็ตาม ก่อนจากกันวันนี้ ผมมีอีกหนึ่งวาทะ ฝากให้ไปคิดตาม ช่วงที่ท่านว่างๆ "Doing what you like is freedom. Liking what you do is happiness." (ได้ทำในสิ่งที่ชอบ เรีย...

Post#2-20: Brand Conmunication

Post#2-20: ช่วงเช้าวันนี้ ผมมีโอกาสได้ไปประชุมงานกับลูกค้า ตอนหนึ่งของการสนทนา เราคุยกันอย่างออกรสในเรื่องของ Brand Communication ต้องยอมรับว่า เรื่องนี้ถือเป็นหัวใจหลักที่เป็นสิ่งเชื่อมโยงระหว่างเจ้าของ Brand และลูกค้า อย่างแท้จริง แม้ว่าจะทำสินค้าได้ดีเพียงใด แต่หากไม่ทำเรื่องนี้ให้ดี ก็กลายเป็นไร้ค่า เพราะลูกค้าจะไม่มีโอกาสที่จะเข้าใจหรือไม่ก็เข้าใจคลาดเคลื่อนไปมากเกี่ยวกับ Brand ของเรา ส่วนใหญ่ของคนไทยเก่งเรื่องสร้างสินค้า แต่ขาดความใส่ใจเรื่องการสร้าง Brand และส่วนใหญ่ชอบที่จะ "ทำไปก่อน" อย่างอื่นว่ากันทีหลัง จริงๆ ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียของความกล้าลุย กล้าได้กล้าเสีย ของการทำไปก่อนอย่างที่ว่า ข้อดีคือไม่ต้องรำมวยนาน คิดปุ๊บ ทำปั๊บ ถ้าแป้กก็ลองใหม่ แต่ข้อเสียก็คือ Brand Identity ไม่ชัดเจน มูลค่าของ Brand จึงเกิดขึ้นได้ยาก อย่าลืมว่าในยุคนี้ คนไม่ได้จ่ายเงินเพื่อประโยชน์ของสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่จ่ายเพื่อเรื่องราวที่มากับ Brand นั้นๆ ด้วยเช่นกัน ถ้ามีภาพเรื่องราวของ Brand ชัดเจน การกำหนดแผนที่ตามมาก็จะชัด แต่ถ้าไม่ชัด อันนี้ทีมทำงานจะเห...

Post#2-19: เทศกาลเจ

Post#2-19: เทศกาลเจ ช่วงนี้ไปทางไหนก็เจอบรรยากาศของเทศกาลเจ ผมเคยพยายามจะทานเจหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็มีอันต้องล้มเหลวทุกครั้ง โดยมากเป็นเพราะ "เผลอ" เช่น ทานผัดหมี่เจแต่ดันปรุงรสด้วยน้ำปลา -"- การทานเจ จึงถือเป็นการฝึกจิตใจอย่างหนึ่ง ให้ละการเบียดเบียนสัตว์ และเป็นฝึกสติไม่ให้เผลอ (เหมือนผม) แต่จะให้ได้บุญในช่วงเจนี้ ไม่ใช่แค่ทานเจอย่างเดียวก็ ok แต่ต้องรักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ด้วย เรียกว่าถ้าจะให้สุดยอด เราก็ต้องรักษากุศลกรรมบถ 10 ล่ะครับ แต่ผมว่าแค่รักษาศีล 5 ให้ครบ ก็ถือว่าดีมากแล้ว ทานเจ ก็คือ การรักษาศีลข้อปาณาติบาต แต่ก็ควรเน้นศีลอีก 4 ข้อ ไปพร้อมๆ กันด้วย ไม่ใช่ทานเจแต่อย่างอื่นจัดเต็ม แบบนี้ก็ผิดเจตนารมณ์ไปมาก ใครที่ทานเจ ก็ต้องทบทวนดูครับ ว่าทานเจตามกระแสหรือทานเจเพราะต้องการสะสมบุญ ถ้าเป็นอย่างแรก ก็ไม่ว่ากันครับ...แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง ก็ต้องทำให้ครบ เค้าถึงเรียก "ถือศีลกินเจ" ยังไงล่ะครับ ^^

Post#2-18: Comfort Zone

Post#2-18: Comfort Zone เท่าที่ผมจำได้ เราคุยกันหลายต่อหลายครั้งใน page นี้ เกี่ยวกับเรื่อง comfort zone (แปลว่า "พื้นที่คุ้นชิน") โดยธรรมชาติแล้ว คนเราไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่สัจธรรมอันเป็นที่สุดนั้น กลับกลายเป็น "ไม่มีอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลง"...นึกแล้วผมก็ขำชีวิต ผมทำงานมานานพอดู จึงพอจะพูดได้บ้างว่า ผู้คนจำนวนไม่น้อย ชอบทำงานด้วยวิธีเดิมๆ ไม่ค่อยชอบเปลี่ยนแปลง เคยทำยังไงก็อยากจะทำแบบนั้นไปเรื่อยๆ โดยมีประโยคติดปากของผู้เสพติดความสุขใน comfort zone ว่า "ของเดิมก็ดีอยู่แล้ว จะเปลี่ยนทำไม?" ยอมรับกันตามจริง ผมก็เห็นด้วยว่าการทำแบบเดิมๆ นะครับ มันง่ายและก็สบายดี เป็น comfort zone ที่เราหลับตาทำก็รู้ ก็ของมันเคยๆ ทำอยู่ทุกวัน...แต่ชีวิตมันไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิครับ ถ้าปัจจัยภายนอกไม่เปลี่ยนแปลงเลย ก็คงไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ทุกคนก็รู้ว่าโลกเปลี่ยน เรามิอาจไม่เปลี่ยน (Post#217) ดังนั้น คนที่ไม่เคยคิดจะออกจาก comfort zone เลย จึงมักจะมีปัญหาในระยะยาว เพราะทำแบบอื่นไม่เป็นเลย เมื่อ comfort zone เดิมถูกทำลายไป (หรือโดนบีบให้ออกจาก comfort zone) เค้าจึงเหมือนเค...

Post#2-17: Growing old vs. Growing up

Post#2-17: Growing old vs. Growing up เป็นเรื่องจริงที่น่าขมขื่นที่คนส่วนหนึ่งที่เราพบเจอ มีอายุตัวกับอายุสมองที่สวนทางกัน ขึ้นต้นมาแบบแรงไปนิดก็ต้องขออภัยครับ แต่เราคงต้องยอมรับว่า คนแบบนี้มีอยู่จริงในโลก ใช่ว่าเมื่อเราอายุมากขึ้นๆ แล้วความสามารถในการแยกแยะความถูกความควรจะมากขึ้นตามไปด้วย บางคนยิ่งแก่ยิ่งดื้อ บางคนยิ่งแก่ยิ่งเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ในที่นี้ผมหมายถึง พฤติกรรมที่ไม่เข้าท่าบางอย่างที่บางครั้งเราไม่เข้าใจว่า เค้าทำไปเพื่ออะไร? ผมวิเคราะห์เองว่า น่าจะเกิดจากความไม่เดียงสาทางด้าน EQ มากกว่าอย่างอื่น น่าเสียใจที่ผมต้องบอกว่า คนเผ่านี้ อาศัยอยู่ในตัวเราทุกคนเลยครับ แต่จะแสดงตัวตนได้เฉพาะในยามที่เรา "ขาดสติ" เท่านั้น เรียกว่า เผลอเมื่อไหร่ พี่เค้าจะปรากฏกายทันที ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ ร่ำเรียนเขียนอ่านจนมี IQ สูงล้ำเพียงใด ก็ไม่มีทางที่จะกำจัดร่างแฝงนี้ของเราได้ จนกว่าเราจะรู้จักควบคุมสติได้ดีเพียงพอ ใช่ครับ ผมก็คิดเหมือนกันว่า มันเป็นเรื่อง "ยาก" มาก แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นเรื่องที่ "ทำไม่ได้" ใช่มั๊ยครับ? เมื่อ...

Post#2-16: ทำงานบริษัทใหญ่หรือเล็ก

Post#2-16: ต่อจากเมื่อวานนะครับ... ค้างข้อสองเอาไว้...เด็กๆ ถามว่า เลือกทำงานกับบริษัทใหญ่หรือเล็ก แบบไหนจะดีกว่ากัน? ย้ำว่า นี่เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ผมไม่ได้บอกว่าเป็นคำตอบที่ถูกสำหรับทุกคน... ถ้าย้อนเวลากลับไปได้...ผมจะเลือกทำงานในบริษัทเล็กๆ ที่ๆ ไม่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นเม็ดทรายอยู่ริมหาด...อย่างน้อยเราควรมีขนาดเท่าก้อนกรวดริมฝั่งแม่น้ำ แปลว่า การเป็นเด็กจบใหม่ในองค์กรเล็กๆ อย่างน้อยเราก็ควรจะได้มีโอกาสทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง เพราะองค์กรมันเล็ก แปลว่าทุกๆ คนที่เค้าจ้าง ย่อมต้องมีบทบาทในระดับหนึ่ง ในองค์กรเล็กๆ เด็กๆ มักจะมีโอกาสทำงานใกล้กับเจ้าของหรือผู้บริหารระดับสูง ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบที่จะได้นำเสนอผลงาน รวมถึงได้เรียนงานโดยตรง ถ้าเราทำตำแหน่งเดียวกันในองค์กรใหญ่ๆ (ไม่ได้หมายความว่า ทุกองค์กรใหญ่จะต้องเป็นแบบนี้นะครับ) ความสำคัญย่อมด้อยกว่าอย่างมาก และเด็กใหม่ๆ แทบไม่มีโอกาสสร้างสรรค์หรือนำเสนอไอเดียในการทำงานเลย ช่วงต้นๆ ของการทำงาน เด็กจบใหม่ จึงไม่ควรให้ความสำคัญกับค่าตอบแทนมากกว่าโอกาสในการเรียนรู้งาน แม้คุณจะเป็นซีเนียร์ในรั้วมหา...

Post#2-15: ทำงานหรือเรียนต่อ?

Post#2-15: หลายเดือนก่อน ผมได้รับเชิญไปให้ความรู้นักศึกษาปริญญาตรี เกี่ยวกับเรื่องการหางาน เป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับผม เพราะไม่ได้มีโอกาสฟังเสียงสะท้อนจากเด็กๆ มานานกว่าสิบปีแล้ว (แก่อ่ะ >"<) หลังจากแชร์มุมมองและประสบการณ์ของผมในฐานะผู้จ้างงานแล้ว ก็เป็นช่วงถาม-ตอบ ซึ่งกินเวลาเป็นชั่วโมง แต่คำถามที่ใช้เวลามากที่สุด จะอยู่ที่ 2 คำถามต่อไปนี้... หนึ่ง...เรียนต่อเลยหรือทำงานแล้วค่อยมาเรียน จะดีกว่า? สอง...เลือกทำงานกับบริษัทใหญ่หรือเล็ก แบบไหนจะดีกว่ากัน? ต้องเรียกว่า เป็นคำถามยอดฮิตที่ผมโดนถามทุกครั้งที่คุยเรื่องนี้กับเด็กๆ และแน่นอนว่า คำตอบของผมเป็นแค่มุมมองส่วนตัวนะครับ หนึ่ง...ถ้าเป็นผม ผมจะเลือกทำงานเก็บประสบการณ์ไปซักพักนึงก่อน แล้วค่อยเรียนต่อ ส่วนจะต่อเป็น MBA หรือ mini MBA ค่อยว่ากันอีกที (เคยเขียนไว้แล้วใน Post#240) ถ้าถามว่าทำไม? ผมก็จะตอบว่า ส่วนใหญ่ที่เรียนต่อ เพราะคิดว่าจบโทแล้วจะได้งานที่ดีกว่า ได้เงินเดือนมากกว่า แต่ในความเป็นจริง ผู้จ้างให้ความสำคัญกับ "ประสบการณ์ทำงาน" มากกว่า "วุฒิการศึกษา" ต่อให้คุณจ...

Post#2-14: เอาใจทุกคนพร้อมกัน

Post#2-14: วันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งวันที่ผมต้องบันทึกไว้ในฐานะ chaos sunday ค่าที่ความวุ่นๆ วายๆ ทั้งหลายมาเยี่ยมผมพร้อมๆ กันโดยไม่ได้นัดหมาย ผมคงไม่ลงรายละเอียดให้เป็นที่รำคาญใจของทุกท่านนะครับ จะขอข้ามไปที่วันนี้ผมเรียนรู้อะไรจากความวุ่นวายจะดีกว่า สรุปได้แต่เพียงสั้นๆ ว่า เรื่องทั้งหมดเกิดจากความปรารถนาดีที่อยากจะเอาใจคนรอบข้างทุกคนพร้อมๆ กัน แต่ผลลัพธ์ออกมา แย่เกินกว่าจะบรรยาย...กว่าจะใช้สติข่มให้ใจเย็นลงเป็นปกติได้ ก็เรียกว่านับหนึ่งถึงร้อยกันอยู่หลายรอบทีเดียวครับ ^^ ที่ผมต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแบบนี้ เป็นเพราะความไม่เด็ดขาดในการตัดสินใจ ทำให้ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เดินหน้าไม่ได้ ถอยหลังไม่ออก บทเรียนในวันนี้ของผมจึงมีค่ายิ่ง เพราะสอนให้สำนึกได้เลยว่า เราเอาใจคนรอบข้างทุกคนพร้อมๆ กันไม่ได้ เพราะสุดท้าย แทนที่จะมีคนหนึ่งดีใจ อีกคนเสียใจ ก็กลายเป็นทุกคนที่ผมพยายามจะเอาใจกลับต้อง "เสียใจ" ทั้งหมด แน่นอนว่า คนที่เสียใจที่สุดก็คือตัวผมนั่นเอง...อารมณ์ผมตอนนี้ อธิบายไปแล้ว ก็คงไม่ต่างจากการ "จับปลาสองมือ" นั่นเองครับ อยากได้ปลาเยอะๆ...

Post#2-13: ความสุข

Post#2-13: เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้อ่านผลสำรวจดัชนีความสุขของคนไทยทั้งประเทศ และพบว่าคนกรุงเทพฯ มีดัชนีความสุขต่ำที่สุด และชาวแม่ฮ่องสอนมีดัชนีความสุขสูงที่สุด ออกตัวก่อนนะครับ ว่าผมเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต แต่ โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า ดัชนีความสุขน่าจะผกผันตามวิธีใช้ชีวิตและวิธีคิดที่มีต่อชีวิตของคนในสังคมใดสังคมหนึ่ง ชีวิตในสังคมที่รีบเร่ง น่าจะทำให้ความสุขในชีวิตลดลง แต่ผมไม่ได้หมายความว่า เราควรหันมาใช้ชีวิตเฉื่อยชานะครับ ผมเพียงแต่คิดว่า เราไม่ควรใช้ชีวิตรีบเร่งเกินพอดีต่างหาก อีกปัจจัยหนึ่งที่ผมเชื่อว่ามีผลกับดัชนีความสุข น่าจะเป็นเรื่องของวิธีคิด ถ้าถามว่า "จุดหมายของชีวิตอยู่ที่ไหน?" ผู้คนส่วนใหญ่จะตอบว่า "อยากมีชีวิตที่มีความสุข" ผมเองก็ตอบแบบนี้ จนกระทั่งผมมาเจอกับวาทะนี้ ผมจึงพบว่า ผมเข้าใจผิดมาตลอดเกี่ยวกับ "ความสุข" เค้าว่าไว้อย่างนี้ครับ... "Happiness is not a destination, it is a way of life." แปลว่า "ความสุขไม่ใช่จุดหมาย มันเป็นวิถีทางของชีวิตต่างหาก" สารภาพว่าอ่านจบประโยคปุ๊บ ...

Post#2-12: ไปงานศพ

Post#2-12: ผมได้รับข่าวร้ายเมื่อตอนสายๆ วันนี้ ว่าคุณพ่อของเพื่อนรักคนหนึ่งของผม ท่านต้องเดินทางไกลไปขึ้นสวรรค์ วินาทีที่ทราบ ใจผมหล่นวูบไปพร้อมๆ กับหน้าเพื่อนรักของผมลอยมา รู้เลยว่า เพื่อนผมคงจะเศร้ามากแน่ๆ เพราะเธอเป็นคนที่รักครอบครัวมากกว่าสิ่งอื่นใดในโลกนี้ ผมไม่เคยเจอท่านผู้วายชนม์มาก่อน จึงไม่ได้มีความอาลัยเป็นการส่วนตัว แต่ทันทีที่รู้ ผมก็โทรสั่งพวงหรีดโดยทันที กำชับว่าให้ไปส่งวันนี้ ก่อนที่ผมจะไปเคารพศพในช่วงเย็น ผมไม่รู้จริงๆ ครับ ว่าสำหรับคนทั่วๆ ไปนั้น การส่งหรีดและการไปเคารพศพ มีความสำคัญยังไง? แต่สำหรับผม...ผมแค่อยากให้เพื่อนผมรู้ว่า เธอยังมีเพื่อนๆ คอยร่วมแบ่งปันความเสียใจที่เธอมี และเพื่อนๆ ก็พร้อมที่จะปลอบใจและให้กำลังใจเธออยู่ข้างๆ เสมอ การที่เราไปร่วมงานศพ จึงไม่ได้มีค่าแค่การไปส่งคนตายสู่สัมปรายภพ แต่มีความหมายในการไปร่วมปลอบโยนคนเป็นด้วยเช่นกัน ... มนุษย์เกิดมาก็ต้องเดินไปสู่ความตายทุกคนไป เป็นความเที่ยงแท้ที่แม้พระพุทธองค์ก็มิทรงหลุดพ้น แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่หักใจได้ยากสำหรับผู้ที่อยู่ข้างหลัง แต่ก็ต้องเสียใจอย่างมีสติ เพราะผมเชื่อว...

Post#2-11: ต้นทุนการทำงาน

Post#2-11: หลายต่อหลายครั้งที่ผมต้องอธิบายให้ทีมงานฟังว่า ต้นทุนทางบัญชี กับต้นทุนการทำงาน น่ะไม่เหมือนกัน ต้นทุนทางบัญชีหมายถึงเงินที่ต้องจ่ายออกไป ในขณะที่ต้นทุนการทำงาน นอกจากจะหมายถึงต้นทุนทางบัญชีแล้ว อาจหมายรวมถึงอย่างอื่นที่มากกว่าเงิน เช่นเวลา, แรงกาย และแรงใจ เป็นต้น ว่ากันตามภาษาคณิตศาสตร์ ก็คือ ต้นทุนทางบัญชี เป็น subset ของต้นทุนการทำงาน ^^ ต้นทุนการทำงานที่ไม่ใช่ตัวเงินมักถูกมองข้ามอยู่เสมอ ค่าที่ไม่ได้มีความสูญเสียที่จับต้องได้ในรูปของเงิน แต่จริงๆ แล้วต้นทุนการทำงานเป็นสิ่งอันไม่อาจมองข้ามได้ เพราะเมื่อไหร่ที่ละเลย ย่อมนำมาซึ่งความสูญเสียแบบต่อเนื่องและเจ็บปวด ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจร้านค้า ที่มีอัตราการลาออกของพนักงานอยู่บ่อยๆ ถ้ามองในรูปแบบของต้นทุนทางบัญชี ก็แค่พนักงานลาออก หามาเติมก็สิ้นเรื่อง แต่ในความเป็นจริง พนักงานที่ลาออกมีต้นทุนการทำงานแฝงอยู่ในรูปของการฝึกอบรม, ความชำนาญในงาน และขวัญกำลังใจของคนที่ร่วมทำงาน เมื่อรับพนักงานเข้ามาทดแทน ดูเผินๆ จะคิดว่าเท่าทุน เพราะลาออกไป 1 คน ก็รับเข้ามาแทน 1 คน แม้ต้นทุนทางบัญชี (เงินเดือน) จะเท่ากัน แต่ต้...

Post#2-10: ฟังปัญหาคนอื่น ในขณะที่เราก็มีปัญหา

Post#2-10: เคยเจอสถานการณ์ที่เรากำลังเจอปัญหานั่น นู่น นี่ สารพัด แล้วยังอุตส่าห์มีคนมาเล่าปัญหาให้เราฟังบ้างมั๊ยครับ? ผมประเมินว่า ส่วนใหญ่น่าจะเคยเจอ...งั้นถามต่อไปว่า เวลาเจอสถานการณ์แบบนี้ แล้วเราทำยังไงครับ? คนส่วนใหญ่เลือกที่จะฟังด้วยอารมณ์เซ็ง เพราะรู้สึกว่า ปัญหากรูก็เยอะอยู่แล้ว เอาปัญหาเมิงมาเพิ่มทำไม? จริงๆ แล้ว อยากนำเสนอมุมนี้ครับ หนึ่ง...เค้าคงกลุ้มจริงๆ และเห็นเราเป็นที่พึ่ง แม้ว่าเราอาจจะช่วยเค้าไม่ได้ อย่างน้อยช่วยฟังก็ยังดี สำคัญที่ว่า ต้อง "ฟัง" จริงๆ นะครับ ไม่ใช่หู "ได้ยิน" แต่ใจยังอยู่ที่ปัญหาของเรา เพราะถ้าเป็นแบบนั้น จะยิ่งแย่ไปใหญ่ คือเพื่อนเคืองที่เราไม่ฟัง และเราพังเพราะไม่มีสมาธิ สอง...ในขณะที่เราฟังปัญหาคนอื่น อย่างน้อยก็เป็นโอกาสให้เราเลิกสนใจปัญหาของเราชั่วคราว ไม่แน่ว่า ระหว่างฟังเค้า เราอาจจะคิดทางออกของเราออกก็เป็นได้ ตรงนี้ก็เป็นประสบการณ์ตรงของผมเช่นกันครับ มันเหมือนกับพยายามคิดหาคำตอบแทบเป็นแทบตาย คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก พอจะเลิกคิด จู่ๆ ก็คิดออกซะอย่างนั้น... หรือบ่อยครั้งเวลาเสนอไอเดียแก้ปัญหาใ...

Post#2-9: ผลาญเวลา?

Post#2-9: นิสัยไม่ดีอย่างหนึ่งที่ผมมีก็คือ ชอบทำกิจกรรมอื่นไปพร้อมๆ กับการทานข้าวเย็น (แต่ต้องเป็นเฉพาะที่บ้าน) ไม่อ่านหนังสือก็เล่นมือถือ ไม่เล่นมือถือก็ดู youtube เรียกว่าตั้งหน้าตั้งตาทานให้เสร็จแล้วไปทำอย่างอื่นน่ะ ไม่ค่อยมี มองเผินๆ ก็เห็นด้วยครับว่าใช้เวลาไม่ค่อยคุ้มค่าซะเท่าไหร่ แต่ไม่รู้สิครับ ผมมีความเห็นว่า เรื่องความคุ้มค่าของการใช้เวลานี่ มันเป็นเรื่องที่วัดได้ยาก เพราะเป็นเรื่องของมุมมองเป็นหลัก มันเหมือนกับที่ผู้ชายไม่เคยเข้าใจว่า ผู้หญิงดูละครหรือซีรี่ส์เกาหลีได้ไงเป็นชั่วโมง พอๆ กับที่ผู้หญิงก็ไม่เคยเข้าใจว่าผู้ชายใช้เวลา 90 นาที เพื่อดูคน 22 คนไล่เตะลูกบอลลูกเดียวไปเพื่ออะไร? เรื่องบางเรื่องที่เรามองว่าเค้าใช้เวลาไปอย่างไร้ประโยชน์ แต่เค้าอาจมองว่าเค้าใช้เวลาตรงนั้นคุ้มค่ามากๆ และกลับกันที่เค้าอาจบ่นมาเข้าหูเราว่า เราใช้เวลาไร้สาระ แต่เรากลับรู้สึกว่า เมื่อ 90 นาทีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาคุณภาพ ก็เป็นได้ เคยได้ยินประโยคนี้มั๊ยครับ..."Time you enjoy wasting is not wasted." แปลว่า "เวลาที่คุณยินดีที่จะสูญเสียนั้น ไม่ได้เรียกว่าสูญเปล่า" (ถ้าไ...

Post#2-8: คนเยี่ยมไข้

Post#2-8: ช่วงนี้ผมโชคดี (ชิ) ที่ต้องมาโรงพยาบาลบ่อยๆ ^^ ระหว่างรอหมอก็นั่งดูผู้คนไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็ฆ่าเวลาด้วยการตั้งข้อสังเกตไปตามประสาคนอยู่ว่างๆ ไม่เป็น ผู้คนที่มาโรงพยาบาล ไม่เป็นคนเยี่ยมไข้ก็เป็นคนป่วย ซึ่งมีทั้งป่วยมากป่วยน้อยคละเคล้ากันไป ส่วนใหญ่แล้ว โดยธรรมชาติของคนป่วยนั้น มีความเศร้าหมองจากความเจ็บป่วยเกาะกุมใจอยู่ ก็แน่ละครับ กายไม่สบาย จะปั้นหน้ายิ้มระรื่นก็ใช่ที่ เมื่อเข้าใจธรรมชาติของคนป่วยแล้ว คนที่ไปเยี่ยมไข้จึงมีหน้าที่สำคัญ 2 ประการครับ หนึ่ง...อย่าถือสา ถ้าคนป่วยจะ "ขี้วีน" ไปบ้าง ก็เป็นเพราะใจของพวกเค้าตกอยู่ในภวังค์ทุกข์ คิดอะไรก็เฉไปทางร้าย และความคิดที่ไม่ปกตินี้ จึงสะท้อนออกมาผ่านคำพูดและการกระทำ ถ้าเค้าวีน ก็อดใจไว้ อย่าไปตอบโต้เลยครับ เห็นใจคนป่วยกันดีกว่า อาการขี้วีนน่ะหลังป่วยก็หาย แต่อาการหมางใจจากการไปถือสาเค้าน่ะ กินเวลานานกว่าจะเยียวยานะครับ สอง...อย่าปล่อยให้ตัวเองเศร้าหมองตามคนป่วย เราไปเยี่ยมไข้เพื่อเพิ่มพลังบวกให้เค้า ไม่ใช่ไปรับพลังลบกลับมา โบราณท่านจึงเตือนไว้หนักหนา ว่าคนป่วยด้วยกันเอง, เด็กๆ หรือค...

Post#2-7: ผีใต้เตียง

Post#2-7: วันนี้ขอพาย้อนอดีตอีกทีนะครับ... คงเป็นเรื่องแปลกประหลาด ถ้าสมัยเราเป็นเด็ก จะไม่กลัวผีหรือสัตว์ประหลาดเอาซะเลย กลัวว่าจะมีผีในตู้เสื้อผ้าบ้างล่ะ, อยู่ใต้เตียงบ้างล่ะ, หลังผ้าม่านบ้างล่ะ, ในความมืดบ้างล่ะ, ฯลฯ ความกลัวนี้ บางทีก็ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก แม้กระทั่งโตแล้ว บางคนก็ยังต้องนอนเปิดไฟ บางคนก็นอนคนเดียวไม่ได้ ผมคงไม่บังอาจฟันธงล่ะครับว่า ผีมีจริงหรือไม่ หรือใครบอกว่าไม่มีสัตว์ประหลาด แต่ก็พอจะบอกได้ว่า ต่อให้ผีหรือสัตว์ประหลาดมีจริง ก็ไม่ได้ปรากฎตัวพร่ำเพรื่อทุกแห่งทุกหน หรือทุกเวลาซะกะหน่อย >_<' แล้วทำไมเด็กๆ (รวมทั้งเราด้วย) ยังกลัวผีหรือสัตว์ประหลาด อย่างที่ว่า? ฝรั่งว่าไว้อย่างนี้ครับ... "Monsters don't sleep under your bed, they sleep inside your head." แปลว่า "สัตว์ประหลาดน่ะมันไม่ได้นอนอยู่ใต้เตียง, แต่มันนอนอยู่ในหัวของเราต่างหาก" ถ้าอธิบายเรื่องนี้ให้เด็กน้อยฟัง เด็กๆ คงไม่เข้าใจ ส่วนสำหรับผู้ใหญ่อย่างเราๆ นี่ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่า มันจะช่วยได้แค่ไหน? งั้นผมลองเปลี่ยนประโยคใหม่ดู... "Sadness doesn't sle...

Post#2-6: ทุกข์ให้เป็น

Post#2-6: บ่อยครั้งที่เราโหยหาอดีตอันแสนสุข...เพียงเพื่อจะได้ลืมปัจจุบันอันแสนเจ็บปวด ผมเข้าใจเอาเองว่า นี่ก็เป็นหนึ่งใน Defence Machanism ที่ใจของคนเราสร้างขึ้นมา หวนคืนไปยังวันเก่าๆ ที่เรายังไม่ต้องมีความรับผิดชอบที่หนักหนา ที่กลุ้มใจก็มีแต่เรื่องเรียนหรือการบ้าน ความทุกข์นอกนั้นไม่นำพา ชีวิตตอนนั้น คิดเรื่องอนาคตได้ไม่มากไปกว่า พรุ่งนี้จะเล่นอะไรกับเพื่อนที่โรงเรียนดี? จำความรู้สึกตอนนั้นได้มั๊ยครับ? ถ้าจำได้...ผมรบกวนยิ้มให้ตัวเอง 1 ที :) คราวนี้กลับมาถามตัวเองใหม่... ว่า ถ้าอยากลืมความทุกข์ในปัจจุบัน จะต้องทำไงดี? ในเมื่อรู้อยู่เต็มอก ว่ากลับไปหาอดีตได้แค่ในห้วงความทรงจำเท่านั้น คิดซัก 3 นาที พอมั๊ยครับ? คำตอบมันไม่ได้ซับซ้อนซะหน่อย ... ตามสไตล์ผม คำตอบไม่มีถูกหรือผิดแบบเป๊ะๆ แต่สำหรับผม คำตอบก็คือ เลือกที่จะทุกข์ ให้ "ถูกเวลา" มันเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะไม่ทุกข์ แต่ถ้าแบกทุกข์ตลอดเวลา ก็คงไม่ไหว... เวลาที่ต้องใช้กำลังกายและกำลังใจเพื่อจัดการปัญหาตรงหน้า ก็ทำให้เต็มที่ ทุกข์ซะให้พอ...นอกเวลานั้นแล้ว ไม่ต้องไปวิตกอะไรให้มันมากคร...

Post#2-5: ใครให้ข้อมูล

Post#2-5: วันนี้ผมมีอันต้องหยุดอยู่บ้าน ทั้งที่มีคิวประชุมยาวเหยียด ตั้งแต่ 8 โมงครึ่งไปจนคิวสุดท้ายที่ 5 โมงเย็น เหตุเพราะข้อมูลที่ผิดพลาดจากพยาบาล ที่แจ้งภรรยาผมว่า หลังการผ่าตัดแล้ว ไม่ต้องพักฟื้น รุ่งขึ้นก็ไปทำงานได้เลย... เย็นวันวาน ผมต้องไปผ่าซีสต์ โดยก่อนไปผ่า ก็นัดล่วงหน้าค่อนข้างนาน วางแผนการประชุมไว้ล่วงหน้า และให้ภรรยาถามข้อมูลจากพยาบาล และได้คำตอบอย่างที่ว่า ระหว่างผ่าตัด ผมก็คุยกับคุณหมอ (เป็นการผ่าแบบฉีดยาชา ไม่ใช่ดมยา - เผื่อใครงงว่า คุยระหว่างผ่าตัดได้ไง อิอิ) ซึ่งท่านก็จะนัดเช็คแผล นั่น นู่น นี่ และกำชับผมว่า หลังผ่าตัด 24 ชั่วโมง ไม่อยากให้เคลื่อนไหวมากๆ อยากให้อยู่เฉยๆ ผมก็แย้งท่านว่า ข้อมูลที่ได้รับจากคุณพยาบาลบอกอีกอย่างเลยครับ คุณหมอค้อนเล็กน้อย แล้วมองด้วยสายตาพิฆาต (อารมณ์ประมาณ อย่ารู้ดีกว่าหมอ + เมิงไม่ห่วงตัวเองหรือไง) ค่าที่ผมกลัวจะมี "ดราม่า" ในโรงพยาบาล ก็เลยบอกคุณหมอว่า "สงสัยผมเข้าใจผิด เอาเป็นว่า ผมจะทำตามที่คุณหมอสั่งครับ" -*- หลังผ่าตัด ผมมีอันต้องโทรเลื่อนประชุมเป็นที่วุ่นวาย นัดผู้ใหญ่ไว้ก็ต้องโทรไปขอโทษขอโพย เรียกว่...

Post#2-4: อดทน

Post#2-4: ไม่รู้เป็นเพราะผมแก่แล้วรึเปล่า ถึงได้รู้สึกมาได้ซักพักแล้วว่า ส่วนใหญ่แล้ว คนสมัยนี้ไม่ค่อยอดทนกันเท่าที่ควร จรรยาที่งดงามของคนที่มีอายุมากหน่อย (รุ่นคุณปู่หรือคุณพ่อของผม) ก็คือ พวกท่านมีความอดทนในระดับที่คนรุ่นใหม่ๆ นึกไปไม่ถึง พวกท่านใช้ความวิริยะอุตสาหะในขั้นสูง ทั้งกับการทำงานและการใช้ชีวิต ไม่ย่อท้อง่ายๆ และสู้ชีวิตทุกทาง พวกท่านให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานมากกว่าการสร้างปลายยอด และไม่เคยละเลยเรื่องคุณภาพงาน หากเกิดเหตุสุดวิสัย ก็จะยอมถูกตำหนิที่ส่งมอบงานช้าไปบ้าง มากกว่าที่จะเผางานให้เสร็จๆ แล้วมั่วส่งงาน ... เราเกิดมาในยุคหลังสงคราม ไม่ได้รับรู้ถึงความเหนื่อยยากของการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอด เราไม่เข้าใจหรอกว่า คนรุ่นปู่และรุ่นพ่อ เหนื่อยยากสาหัสเพียงใด กว่าจะลืมตาอ้าปากได้ คำว่า "อดทน" ในที่นี้ ผมคิดว่าตรงกับที่หลวงพ่อจรัญ ฐิตธฺมโม ท่านได้เทศน์สอนไว้ คือ "อด" ในสิ่งที่ชอบ และ "ทน" ในสิ่งที่ไม่ชอบ ซึ่งเป็นจรรยาอันงดงามของคนรุ่นปู่รุ่นพ่อของเรา ถ้าเรายอมรับความจริง เราจะพบว่า คนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน มัก ...

Post#2-3: เอาชนะใจ

Post#2-3: คำถามยอดฮิตคำถามหนึ่งที่ผมโดนถามบ่อยๆ ก็คือ เราจะเอาชนะใจนายหรือลูกน้องได้ด้วยวิธีไหน? สารภาพตรงๆ เลยครับ ผมเองก็ตอบแบบฟันธงไม่ได้ อยากจะสรุปว่าไม่น่าจะมีสูตรสำเร็จของคำตอบซะด้วยซ้ำ แต่แล้ว ก็ให้บังเอิญที่ผมไปเจอวาทะหนึ่งเข้า และยอมรับว่า ตอบคำถามข้างต้นได้ค่อนข้างดียิ่ง เค้าว่าไว้อย่างนี้ครับ... "พึงชนะผู้น้อยด้วยการให้ พึงชนะผู้ใหญ่ด้วยความอ่อนโยน" วาทะนี้ ต้องอาศัยการตีความอยู่บ้างครับ และแม้ว่าแต่ละคนจะมีการตีความที่ต่างกันไป ผมก็จะขอตีความในแบบของผมให้คิดตามกันเล่นๆ นะครับ ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่... การให้ในที่นี้ กินความหมายกว้างมากครับ ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า สำหรับลูกน้อง หรือผู้มีอาวุโส (ไม่ว่าจะวัยวุฒิหรือคุณวุฒิน้อยกว่า) เราก็ควรจะ "ให้" ให้อะไรบ้างน่ะหรือครับ...ให้โอกาสก็ใช่ ให้อภัยก็จำเป็น ให้ความช่วยเหลือก็เป็นเรื่องดี และให้กำลังใจนี่ก็ขาดไม่ได้ ถ้าเราเป็นผู้น้อย... การเอาชนะใจนาย หรือผู้มีอาวุโสมากกว่า เราก็ควรจะใช้จุดแข็งของความเป็นคนไทย นั่นก็คือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นตัวนำ ขึ้นชื่อว่า "ผู้ใหญ...

Post#2-2: บริโภคนิยม

Post#2-2: ด้วยลัทธิบริโภคนิยมที่นับวันจะมีแต่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้พฤติกรรมในการจับจ่ายของผู้คนส่วนใหญ่ ใกล้เคียงกับคำว่า “ล้มเหลว" มากขึ้นเรื่อยๆ จั่วหัวเหมือนนักวิชาการแบบนี้ เป็นเพราะช่วงเช้าผมนั่งอ่านโพสต์ เพื่อ update นั่น นู่น นี่ เป็นปกติ และให้บังเอิญไปเจอประโยคโดนใจเกี่ยวกับลัทธิบริโภคนิยมที่ว่า เค้าว่าไว้อย่างนี้ครับ... "Sometimes, it makes sense to pay $2 for a $1 item that we need, but it seems like we pay $1 for a $2 item that we don’t need, but is on SALE." แปลว่า..."บางครั้ง มันก็สมควรที่จะจ่ายเงิน 2 เหรียญ เพื่อของราคา 1 เหรียญ ที่เราต้องการ แต่มันดูเหมือนว่า เราจะจ่ายเงิน 1 เหรียญ ให้กับของราคา 2 เหรียญ ที่เราไม่ต้องการ แต่ซื้อเพราะมันลดราคา ซะล่ะมากกว่า” จริงๆ ประโยคนี้ เค้าตั้งใจจะกระแนะกระแหนผู้หญิง แต่ผมคิดว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เฉพาะผู้หญิงหรอกครับที่เป็น เพราะพออ่านประโยคนี้จบ ผมรู้สึกเหมือนขับๆ รถอยู่ แล้วมีอันให้ต้องเหยียบเบรคหัวทิ่ม แล้วก็นั่งทบทวนว่า ผมเป็นหนึ่งในขบวนการนี้ด้วยรึเปล่า? แม้ใจจะต่อต้านว่าไม่นะ เราไม่ได...