Skip to main content

Post#2-20: Brand Conmunication

Post#2-20:
ช่วงเช้าวันนี้ ผมมีโอกาสได้ไปประชุมงานกับลูกค้า

ตอนหนึ่งของการสนทนา เราคุยกันอย่างออกรสในเรื่องของ Brand Communication

ต้องยอมรับว่า เรื่องนี้ถือเป็นหัวใจหลักที่เป็นสิ่งเชื่อมโยงระหว่างเจ้าของ Brand และลูกค้า อย่างแท้จริง

แม้ว่าจะทำสินค้าได้ดีเพียงใด แต่หากไม่ทำเรื่องนี้ให้ดี ก็กลายเป็นไร้ค่า เพราะลูกค้าจะไม่มีโอกาสที่จะเข้าใจหรือไม่ก็เข้าใจคลาดเคลื่อนไปมากเกี่ยวกับ Brand ของเรา

ส่วนใหญ่ของคนไทยเก่งเรื่องสร้างสินค้า แต่ขาดความใส่ใจเรื่องการสร้าง Brand และส่วนใหญ่ชอบที่จะ "ทำไปก่อน" อย่างอื่นว่ากันทีหลัง

จริงๆ ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียของความกล้าลุย กล้าได้กล้าเสีย ของการทำไปก่อนอย่างที่ว่า

ข้อดีคือไม่ต้องรำมวยนาน คิดปุ๊บ ทำปั๊บ ถ้าแป้กก็ลองใหม่ แต่ข้อเสียก็คือ Brand Identity ไม่ชัดเจน มูลค่าของ Brand จึงเกิดขึ้นได้ยาก

อย่าลืมว่าในยุคนี้ คนไม่ได้จ่ายเงินเพื่อประโยชน์ของสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่จ่ายเพื่อเรื่องราวที่มากับ Brand นั้นๆ ด้วยเช่นกัน

ถ้ามีภาพเรื่องราวของ Brand ชัดเจน การกำหนดแผนที่ตามมาก็จะชัด แต่ถ้าไม่ชัด อันนี้ทีมทำงานจะเหนื่อย และลูกค้าก็จะไม่เข้าใจว่าเรากำลังสื่อสารอะไรกับเค้า

ลองนึกภาพว่า เราปรึกษาอาจารย์ว่า เราจะเรียนมหา'ลัย แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะเรียนคณะอะไรดี? อาจารย์ก็จะได้แต่มึน ไม่รู้จะแนะนำเรายังไง

แต่ถ้าบอกอาจารย์ว่า อยากเป็นวิศวกร อาจารย์จะได้แนะนำถูกว่า เราจะต้องเตรียมตัวยังไง เน้นวิชาอะไร อ่านหนังสือเล่มไหน ฯลฯ

เราบอกลูกน้องว่า ให้คิดแผนขายเครื่องสำอาง Brand ใหม่ บอกแค่นี้แล้วหยุดเลย ที่เหลือให้ลูกน้องไปคิดต่อเอง...

แล้วลูกน้องจะทำงานยังไงต่อดี เพราะนึกภาพไม่ออกว่า นายอยากได้แบบไหน (ฟะ) -"-

อยากเป็นอะไร อยากได้แบบไหน เราจึงต้องชัด เพราะถ้าเริ่มต้นชัดเจน ก็ไม่ต้องกลัวว่า Brand จะเพี้ยน

แนวคิดนี้ ประยุกต์มาใช้กับสไตล์การแต่งตัวและไลฟ์สไตล์อื่นๆ ของเราได้ด้วย...

ลองดูครับ ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...