Skip to main content

Post#361: คนขับรถ vs ผู้โดยสาร

Post#361:
ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่ชอบอะไรที่เปลี่ยนแปลงแบบกะทันหัน ชนิดที่เรียกว่า พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

ทุกคนชอบที่จะให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของมัน หรือหากจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ก็ขอให้มันเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะดีที่สุด

แต่ผมก็เชื่อว่า ในชีวิตจริง เรามักจะเจอการเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหันได้บ่อยที่สุดเช่นกัน ซึ่งคราวนี้ก็อยู่ที่ว่าเรามีภูมิต้านทานความกะทันหันนี้มากหรือน้อยเพียงใด

ยกตัวอย่างด้วย รถเมล์ของประเทศหนึ่งก็แล้วกันครับ...

ถ้าคนขับรถ เลี้ยวรถแบบกระชาก หรืออยู่ดีๆ ก็กระทืบเบรค แน่นอนว่าผู้โดยสารต้องได้รับผลกระทบ หกล้มบ้าง, หน้ากระแทกพนัก, หลังกระแทกเสา, ฯลฯ

ถ้าเป็นผู้โดยสารประจำ รู้ดีว่าคนขับรถเมล์สายนี้ ขับรถแบบนี้ประจำ ก็มักจะรับมือได้ แต่ถ้าเป็นผู้โดยสารใหม่ มักจะไม่รอดชะตากรรมข้างต้น

หลังจากการเลี้ยวกระชากหรือเบรคหัวทิ่ม ที่ว่า ผู้โดยสารก็จะเริ่มมองหาสาเหตุของความกะทันหันนั้น...

ถ้าเกิดจากอุบัติเหตุ หรือปัจจัยที่เลี่ยงไม่ได้ โดยมากผู้โดยสารมักให้อภัยคนขับฯ ส่วนผู้โดยสารที่บาดเจ็บ ก็จะลงจากรถไปด้วยความเข้าใจ

แต่ถ้าเป็นการเลี้ยวรถเอามัน เบรคเพื่อความสะใจ แบบนี้คนขับรถอาจมีปัญหายาว เพราะผู้โดยสารที่เริ่มเบื่อกับวิธีขับรถแบบนี้ จะทวีความเบื่อและเซ็ง ไม่นานก็คิดจะหารถคันอื่นนั่ง ส่วนผู้โดยสารที่บาดเจ็บ ก็จะลงจากรถไปอย่างเจ็บแค้น

...

ผมได้แต่ภาวนาให้ความกะทันหันส่วนใหญ่ในองค์กรต่างๆ เกิดจากความจำเป็นอันเลี่ยงไม่ได้ หรือเกิดจากอุปัทวเหตุ

เพราะหากความกะทันหันในองค์กรเกิดขึ้นบ่อยๆ จากความลังเลของคนกุมอำนาจ ชีวิตการทำงานของทีมงาน ก็คงไม่ต่างจากผู้โดยสารที่ขึ้นรถที่ขับโดยคนขับมารยาททราม

ผู้บริหารจึงต้องพึงระวังเรื่องจรรยาของตน เสมือนเป็นคนขับรถที่ดี ขับรถให้ดีตามอัตภาพ เพื่อให้ผู้โดยสารมีความสุข

พนักงานจึงควรรู้จรรยาของตน เสมือนเป็นผู้โดยสารที่ดี ทำตามระเบียบการโดยสารรถ อย่ายื่นหัวยื่นแขนออกนอกรถ หรือกระทำการใดๆ อันทำให้คนขับรถด้อยสมรรถนะของการบังคับรถ

มีมากที่ ผู้โดยสารชอบด่าว่าคนขับรถ ว่าขับรถแย่ยังโง้นยังงี้ แต่ไม่ได้รู้ตัวเลย ว่าตัวเองอยู่ในข่าย "ผู้โดยสารมารยาททราม"


จะด่าจะว่าคนขับรถ ก็มองซ้ายมองขวาซักนิดนะครับ "กระเป๋ารถ" บางคัน ก็ "ดุ" นะครับ ผมขอเตือน >_<"

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...