Skip to main content

Post#2-4: อดทน

Post#2-4:
ไม่รู้เป็นเพราะผมแก่แล้วรึเปล่า ถึงได้รู้สึกมาได้ซักพักแล้วว่า ส่วนใหญ่แล้ว คนสมัยนี้ไม่ค่อยอดทนกันเท่าที่ควร

จรรยาที่งดงามของคนที่มีอายุมากหน่อย (รุ่นคุณปู่หรือคุณพ่อของผม) ก็คือ พวกท่านมีความอดทนในระดับที่คนรุ่นใหม่ๆ นึกไปไม่ถึง

พวกท่านใช้ความวิริยะอุตสาหะในขั้นสูง ทั้งกับการทำงานและการใช้ชีวิต ไม่ย่อท้อง่ายๆ และสู้ชีวิตทุกทาง

พวกท่านให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานมากกว่าการสร้างปลายยอด และไม่เคยละเลยเรื่องคุณภาพงาน หากเกิดเหตุสุดวิสัย ก็จะยอมถูกตำหนิที่ส่งมอบงานช้าไปบ้าง มากกว่าที่จะเผางานให้เสร็จๆ แล้วมั่วส่งงาน

...

เราเกิดมาในยุคหลังสงคราม ไม่ได้รับรู้ถึงความเหนื่อยยากของการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอด เราไม่เข้าใจหรอกว่า คนรุ่นปู่และรุ่นพ่อ เหนื่อยยากสาหัสเพียงใด กว่าจะลืมตาอ้าปากได้

คำว่า "อดทน" ในที่นี้ ผมคิดว่าตรงกับที่หลวงพ่อจรัญ ฐิตธฺมโม ท่านได้เทศน์สอนไว้ คือ "อด" ในสิ่งที่ชอบ และ "ทน" ในสิ่งที่ไม่ชอบ ซึ่งเป็นจรรยาอันงดงามของคนรุ่นปู่รุ่นพ่อของเรา

ถ้าเรายอมรับความจริง เราจะพบว่า คนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน มัก "อด" ในสิ่งที่ชอบไม่ได้ และไม่ยอม "ทน" ในสิ่งที่ไม่ชอบ ซึ่งส่งผลให้ รายได้เราไม่เคยพอกับรายจ่าย เพราะไม่ยอม "อด" และเราก็ไม่ค่อยก้าวหน้าในงาน เพราะ "ทน" ไม่ได้และไม่ยอม "ทน" ทำให้ต้องเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ

พูดกันตรงๆ ก็คือ อยากสบายและกลัวลำบาก อยากได้ค่าตอบแทนสูงๆ แต่ไม่เคยคิดทุ่มเท

วงจรของการ "อดไม่ได้" และ "ไม่ยอมทน" นี้ จึงดำเนินต่อไป กลายเป็นค่านิยมของคนในยุคปัจจุบันบางส่วน (ขออภัยที่ผมคิดว่า "บางส่วน" นี้ น่าจะเป็น "ส่วนที่ใหญ่" พอควร) ที่บูชาความสำเร็จโดยไม่ต้องพยายาม

ที่สุดแล้ว จรรยาในอดีตจึงเป็นเรื่องคร่ำครึ เรากลับเลือกให้ความสำคัญกับการสร้างปลายยอดให้สวยงาม โดยละเลยกับการสร้างพื้นฐานให้แข็งแกร่ง

ความสำเร็จฉาบฉวย จึงมักพังทลายเพราะฐานรากที่ไม่เข้มแข็งพอ พวกที่เปลี่ยนงานเพราะต้องการ up เงินเดือน สุดท้ายจึงจบลงด้วยการตกงาน เพราะไม่มีความแน่นในเนื้องาน มีแต่ความฉาบฉวยเป็นเปลือก

เราชอบหาหนังสือพวกรวยทางลัดมาเสพ โดยหารู้ไม่ว่า เรานั่นแหละตกเป็นเหยื่อความโลภของตัวเอง และกลายเป็นฐานให้พวกเสนอช่องรวยทางลัด เป็นผู้ที่ "รวยขึ้น"  ส่วนเราก็จมอยู่กับ "ฝันอันสวยงาม" แต่นำไปใช้งานจริงได้ยาก

คนที่รวยทางลัดน่ะมีจริงครับ แต่คิดเป็นเปอร์เซนต์ก็ใกล้ๆ ศูนย์ แต่คนที่รวยเพราะทุ่มเททำงานหนักน่ะ ปรากฏให้เห็นต่อหน้าแล้ว ก็คือบุพการีรุ่นปู่รุ่นพ่อของเรา

แทนที่จะมัวหลงไขว่คว้าความเพ้อฝัน ทำไมไม่อยู่กับความเป็นจริงให้มากกว่าล่ะครับ?

คาถาสู่ความสำเร็จน่ะสั้นๆ ครับ...


"อดทน"

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...