Skip to main content

Post#2-6: ทุกข์ให้เป็น

Post#2-6:
บ่อยครั้งที่เราโหยหาอดีตอันแสนสุข...เพียงเพื่อจะได้ลืมปัจจุบันอันแสนเจ็บปวด

ผมเข้าใจเอาเองว่า นี่ก็เป็นหนึ่งใน Defence Machanism ที่ใจของคนเราสร้างขึ้นมา

หวนคืนไปยังวันเก่าๆ ที่เรายังไม่ต้องมีความรับผิดชอบที่หนักหนา ที่กลุ้มใจก็มีแต่เรื่องเรียนหรือการบ้าน ความทุกข์นอกนั้นไม่นำพา

ชีวิตตอนนั้น คิดเรื่องอนาคตได้ไม่มากไปกว่า พรุ่งนี้จะเล่นอะไรกับเพื่อนที่โรงเรียนดี?

จำความรู้สึกตอนนั้นได้มั๊ยครับ? ถ้าจำได้...ผมรบกวนยิ้มให้ตัวเอง 1 ที :)

คราวนี้กลับมาถามตัวเองใหม่...

ว่า ถ้าอยากลืมความทุกข์ในปัจจุบัน จะต้องทำไงดี? ในเมื่อรู้อยู่เต็มอก ว่ากลับไปหาอดีตได้แค่ในห้วงความทรงจำเท่านั้น

คิดซัก 3 นาที พอมั๊ยครับ? คำตอบมันไม่ได้ซับซ้อนซะหน่อย

...

ตามสไตล์ผม คำตอบไม่มีถูกหรือผิดแบบเป๊ะๆ แต่สำหรับผม คำตอบก็คือ เลือกที่จะทุกข์ ให้ "ถูกเวลา"

มันเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะไม่ทุกข์ แต่ถ้าแบกทุกข์ตลอดเวลา ก็คงไม่ไหว...

เวลาที่ต้องใช้กำลังกายและกำลังใจเพื่อจัดการปัญหาตรงหน้า ก็ทำให้เต็มที่ ทุกข์ซะให้พอ...นอกเวลานั้นแล้ว ไม่ต้องไปวิตกอะไรให้มันมากครับ เพราะต่อให้วิตกยังไง ปัญหาหรือทุกข์นั้น ก็ไม่ได้หายไปซะหน่อย

ที่คนเราทุกข์ซ้ำซากน่ะ เป็นเพราะตอนที่ต้องเผชิญหน้าความทุกข์นั้น เราเลือกหนีมากกว่าสู้ เมื่อไม่จัดการให้เด็ดขาดลงไป ความทุกข์นั้น มันก็จะกลับมาหลอกหลอนไม่จบไม่สิ้น

เหมือนสมัยเด็กที่เราทุกข์เฉพาะช่วงต้องทำการบ้าน นอกนั้น ก็กินและเล่น ช่วงเวลานั้น ตอนกินก็ไม่ได้นึกเรื่องการบ้าน ยิ่งตอนเล่นน่ะ การบ้านแปลว่าอะไรยังไม่รู้เลย

กินอิ่ม เล่นเสร็จ ก็มาทุกข์กับการบ้าน ส่วนเด็กบางคนที่ไม่กล้าสู้กับความทุกข์ ก็จะบอกพ่อ-แม่ ว่าไม่มีการบ้าน รุ่งขึ้นก็ลอกเพื่อนมั่ง ไม่ก็ถูกครูตี

ถ้าสมัยเด็กๆ เป็นแบบนี้ อย่างมากก็ถูกครูตี แต่ถ้ามาทำตัวแบบนี้ในสมัยนี้ ในตอนที่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ บทลงโทษน่ะมันหนักหนากว่าถูกครูตีเยอะนะครับ

เรียนรู้จากวัยเด็ก ทุกข์ให้เป็นเวลา และเมื่อถึงเวลาก็สู้กับความทุกข์ให้เต็มที่ สำคัญที่ต้องอย่าลืมเผื่อเวลาสำหรับความสุขบ้าง


ยิ้มไว้ครับ...แล้วไปสู้ชีวิตด้วยกัน ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...