Skip to main content

Posts

Showing posts from January, 2015

Post#2-146: จากไปโดยไม่มีโอกาสล่ำลา

Post#2-146: ผมเชื่อว่า ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกเหมือนกับผม ว่าการจากกันแบบปัจจุบันทันด่วนเป็นเรื่องยากที่จะทำใจเสมอ เกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา ผมทำงานร่วมกับ Attorney at Law ท่านหนึ่ง เพื่อแก้ปัญหาบางอย่างของบริษัทหนึ่งที่ผมเป็นที่ปรึกษาให้ เค้าเป็นคนหนุ่มที่มีสมองเฉียบแหลม และเท่าที่สัมผัส เค้ามีความสามารถในการลำดับประเด็นได้อย่างดีเยี่ยม สามารถอธิบายขั้นตอนความซับซ้อนต่างๆ ของข้อกฎหมายให้คนธรรมดาทั่วไปเข้าใจได้อย่างง่ายดาย เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ผมได้ไปประชุมกับเค้า เพื่อสรุปประเด็นและขั้นตอนการทำงานต่อไป ก่อนจากกันยังนัดกันว่า หลังจบ project ต้องไปดื่มฉลองกันหน่อย จากนั้นก็คุยกันผ่าน email ไปๆ มาๆ ตามปกติ นัดกันว่าอังคารหน้าจะประชุมกันอีกที... คืนหนึ่งเมื่อต้นสัปดาห์นี้เอง ผมนั่งทำงานไป หูก็ฟัง TV ไปด้วย อารมณ์แบบเปิด TV เป็นเพื่อนแก้เหงา แล้วก็แว๊บๆ ว่า มีคนตกตึกตายอะไรประมาณนี้ ผมก็ฟังผ่านๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไรเลย ทำงานเสร็จก็เข้านอน รุ่งเช้าไปถึง office ผมก็เช็ค email ตามปกติ แล้วผมก็เจอความช็อคระดับ 7 richter scale...ผมอึ้งทำงานไม่ได้อยู่พักใหญ่ๆ เหมือนมีคนเอาค้อนปอนด์ข...

Post#2-145: ห้องกาลเวลา

Post#2-145: เช้าวันนี้ผมได้รับเกียรติให้เข้าพบ CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย แบบเรียกว่า "กระทบไหล่" เพราะท่านเปิดห้องทำงานให้ผมเข้าพบเป็นการส่วนตัว การเข้าพบผู้ใหญ่ในระดับประเทศแบบนี้ ถือเป็นโอกาสที่หาได้ไม่ง่ายนัก สำหรับผู้บริหารบริษัทเล็กๆ อย่างผม แต่คงเป็นเพราะกรรมดีแต่หนหลัง ที่ทำให้ผมได้รับโอกาสดีๆ แบบนี้ บ่อยกว่าค่าเฉลี่ย ว่าอันที่จริง ผมได้รับความเมตตาจากผู้ใหญ่หลายๆ ท่านอยู่หลายต่อหลายครั้ง รวมเป็นหลายคำแนะนำ หลากความชื่นชม ร้อยคำตักเตือน และพันคำชี้แนะ ซึ่งผมจำใส่สมองและประทับไว้ในหัวใจอย่างไม่เคยลืม แต่การได้เข้าพบท่านผู้ใหญ่ระดับนี้แบบเป็นการส่วนตัว เพื่อนำเสนอแผนงานและมีโอกาสได้รับการสอนสั่ง ถือเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยสำหรับผม ตอนหนึ่งแห่งการสนทนา ท่านให้กำลังใจและชื่นชมในแนวคิดและแผนงานของผมเป็นอย่างมาก จะเพราะท่านชื่นชมในความสามารถของผมจริงๆ หรือเพราะท่านต้องการให้กำลังใจก็แล้วแต่ แต่ก็เป็นเหตุให้หัวใจผมพองโตด้วยความปิติ เพราะการได้รับกำลังใจจากท่านผู้ใหญ่ที่เราให้ความเคารพ คงเป็นอะไรที่ทุกคนเองก็อยากให้เกิดกับตัวเราบ้างซักครั้งอย่างแน่นอน ...

Post#2-144: จากรุ่นสู่รุ่น

Post#2-144: เย็นวานนี้ ผมนั่งทานมื้อค่ำกับเพื่อนรุ่นน้อง และฟังเธอปรับทุกข์เกี่ยวกับสภาพ Family Business ที่เธอต้องเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ผมเคยแชร์ความเห็นไว้บ้างแล้ว (Post#41) ว่าโดยมากมักจะเป็นเพราะกรอบประสบการณ์ที่แตกต่างกันระหว่างรุ่นพ่อและรุ่นเราเป็นหลัก และประเด็นคลาสิคที่สุดก็คือ ท่านยังคงไม่ได้รู้สึกและยอมรับได้ว่า เราโตพอที่จะรับผิดชอบทุกอย่างแทนท่านได้แล้ว รุ่นลูกที่กำลังจะเข้าไปสืบทอดกิจการน่ะ ต้องทำใจยอมรับก่อนว่า เราคงไม่สามารถยกประเด็นเรื่องอายุไปเป็นข้อต่อสู้ให้ท่านวางใจได้ ว่าเรารับผิดชอบแทนท่านได้แล้ว เพราะ ไม่ว่าเราจะเติบโตขึ้นแค่ไหน แต่เราก็คือเด็กในสายตาของท่านอยู่ดี ผมมักจะได้ยินรุ่นลูกบ่นเสมอๆ ว่า "พ่อดื้อ" หรือไม่ก็ "แม่ไม่ยอมฟัง" แต่มองกลับกันแล้ว ท่านก็คงกำลังคิดแบบเดียวกันอยู่นั่นเอง จะให้ท่านยอมรับได้น่ะ ต้องใช้เวลา อย่าลืมว่า ท่านเองก็มีความภาคภูมิใจในธุรกิจที่ท่านสร้างมาอยู่ไม่น้อย จู่ๆ จะให้ท่านยอมรับว่า แนวทางที่ท่านทำมานั้นผิดพลาดหรือล้าสมัยน่ะ คงยากที่ท่านจะยอมรับ โดยเฉพาะเมื่อคนที่กำลังบอกท่านว่า ท่านทำไ...

Post#2-143: ถ่ายทอดทายาทอสูร

Post#2-143: จำได้ว่า ผมเคยเขียนถึงคนที่ปล่อยพลังงานด้านลบอยู่ตลอดเวลาไว้ครั้งหนึ่ง (Post#2-47) ให้บังเอิญที่มีเพื่อนจากแดนไกลส่งสารมาปรึกษาว่าจะทำยังไงกับลูกน้องแบบนี้ดี สรุปใจความก็คือ ลูกน้องที่มีพลังลบของเธอกำลังจะลาออก เธอกังวลว่าจะวางแผนให้ลูกน้องคนนี้ถ่ายงานให้คนมาแทนยังไงดี เพื่อไม่ให้มีปัญหา ปกติบทบาทของที่ปรึกษาฯ อย่างผม ไม่ควรที่จะฟันธง แต่เรื่องนี้ผมต้องเตือนเพื่อนผมอย่างจริงจังว่า "อย่าให้ลูกน้องคนนั้นเป็นคนถ่ายงานโดยเด็ดขาด" เพื่อนผมงง แล้วถามผมว่าทำไมล่ะ? ลองตอบคำถามนี้แทนผมทีสิครับ ว่าทำไม? ใช้เวลาซัก 5 นาทีพอมั๊ยครับ? ... ผมเชื่อว่าหลายคนน่าจะตอบถูก...ใช่แล้วครับ ปัญหาอยู่ที่เรื่อง attitude เป็นสำคัญ ลูกน้องคนนั้นอาจจะเป็นคนเก่ง เรื่องการถ่ายงานในส่วนของ function และ workflow ไม่น่ามีปัญหา แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเค้าถ่ายทอด bad attitude ที่มีต่อองค์กรและเพื่อนร่วมงาน ให้กับคนที่มาใหม่? เริ่มต้นแบบนี้ คนใหม่ก็โดนฝังหัวไปเรียบร้อยแล้ว พาลทำให้จิตตกและเสียกระบวนทัพไปอย่างที่ไม่ควรอย่างยิ่ง ดังนั้น หากลูกน้องที่กำลังจะจากไป ...

Post#2-142: แบตฯ เสื่อม

Post#2-142: ผมเชื่อว่าทุกคนมีโทรศัพท์มือถือใช้... ทุกๆ วันเราก็มักจะเซ็งกับปัญหาแบตฯ ไม่ค่อยพอใช้ในแต่ละวัน ต้องคอยชาร์จอยู่เรื่อยๆ ไม่ก็พึ่งพา Power Bank แต่จะมีซักกี่คนที่ไปพิจารณาว่า สาเหตุที่แบตฯ ไม่พอใช้น่ะ เกิดจากอะไรกันแน่? อาจจะเพราะเราใช้หลาย app พร้อมๆ กัน, เมื่อคืนลืมชาร์จแบตฯ, ไม่ก็แบตฯ เสื่อม, มือถือเก่า, ใช้เครื่องชาร์จผิดประเภท, ฯลฯ หันกลับมามองชีวิตกันบ้างมั๊ยครับ... พลังงานทั้งทางกายและใจ ก็ล้วนต้องชาร์จแบตฯ เหมือนกัน มากบ้างน้อยบ้าง ขึ้นกับสภาพความหนักเบาที่เจอในแต่ละวัน บางวันประชุมหนัก เรื่องเยอะ ก็ไม่ต่างจากเราเปิดหลาย app พร้อมๆ กัน แบตฯ ก็ต้องหมดเร็วเป็นธรรมดา เมื่อคืนไปท่องราตรีหนัก ไม่ก็มัวแต่ท่องเวป ส่องเฟส แล้วก็ต้องตื่นแต่เช้ามาทำงาน ก็ไม่ต่างจากมือถือที่ลืมชาร์จแบตฯ บ่ายๆ ก็เลยมีแอบง่วง ประมาณนี้ บางครั้งแบตฯ เต็มก็ยังชาร์จจนแบตฯ เสื่อมก็มี เช่นหยุดยาวติดๆ กัน พอกลับมาทำงานก็เลยรู้สึกเหนื่อยเร็วกว่าปกติ ตัวขี้เกียจมันเกาะตามข้อต่อไปซะแล้วนี่นา ... จะเห็นว่า อาการแบตฯ เสื่อมและอาการหมดพลังของเราก็ไม่ต่างกัน... แต่ที่ผมพบว่า เป็นปัญหาที...

Post#2-141: เปลี่ยน "เบอร์" พา "เบลอ"

Post#2-141: ยังจำวันก่อนที่ผมโพสต์ว่า กำลังจะเปลี่ยนเบอร์ใหม่ เพราะเพื่อนที่รักอยากจะให้เปลี่ยนได้มั๊ยครับ? (Post#2-75) เวลาล่วงเลยมากว่า 2 เดือน กว่าที่เพื่อนผมจะสรรหาเบอร์มาให้ผมได้นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมีเงื่อนไขเกี่ยวข้องเยอะ ทั้งเรื่องความเข้ากันได้ของเบอร์กับตัวเรา และงบประมาณที่จำกัด (แหะๆ) เอาเป็นว่าที่สุดแล้วผมก็พึ่งจะได้เบอร์ใหม่ แต่ยังไม่ได้เปิดใช้ เพราะมีขั้นตอนต้องไปย้ายค่ายเบอร์เดิมอีก เรียกว่าต้องวุ่นวายอีกนิดหน่อย ก่อนที่จะได้เบอร์ถูกโฉลก ^^ ... ความจริงเรื่องการเปลี่ยนเบอร์ของผมไม่ใช่เรื่องใหญ่โตขนาดต้องนำมาโพสต์เลย อย่างคราวที่แล้ว ก็เพียงแต่ต้องการนำมาชี้ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและน้ำใจของเพื่อน ก็แค่นั้น แต่คราวนี้ เรื่องไม่เป็นเรื่องที่มันกลายเป็นเรื่องน่ะ มันเกิดเพราะเมื่อสัปดาห์ก่อน มีน้องคนหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ A แล้วกันนะครับ) ดัน "พึ่งจะ" ไปอ่านโพสต์ที่ว่า (อย่าลืมว่าผ่านมากว่า 2 เดือน แล้วนะครับ) แล้วก็ส่ง line มาหาผม เพื่อขอเบอร์ใหม่ ผมก็ไม่ได้คิดอะไร ตอบไปสั้นๆ ว่า "ยังไม่ได้เบอร์จ้า ได้แล้วจะบอก" แล...

Post#2-140: ชีวิตติดปีกดีจริงๆ รึเปล่า?

Post#2-140: ด้วย Life Style ของคนในเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ชีวิตจึงเต็มไปด้วยความเร่งรีบมากขึ้น อะไรก็ตามที่ตอบโจทย์ให้ชีวิตเร็วขึ้นได้ ก็มักจะได้รับความนิยม ผมสังเกตว่า ไม่ว่าจะสินค้าหรือบริการก็ตาม ล้วนแต่นำจุดขายในเรื่องสะดวกและรวดเร็วมาเป็นตัวชูทั้งสิ้น ที่น่าขำสำหรับผมก็คือ สินค้าบางอย่างเช่น Laptop หรือ Smartphone น่ะ ต่อให้มี spec ที่ดีขึ้นอีกนิด เราก็แทบจะแยกความแตกต่างไม่ได้เลย เพราะการใช้งานของคนทั่วไปไม่ได้ต้อง download หรือ upload ข้อมูลที่มีขนาดใหญ่มากๆ แต่กระนั้นเราก็ยังบ้าตามเวลามีรุ่นใหม่ๆ ออกมาทุกที (โดยเฉพาะผมเองที่บ้า gadget มากๆ) ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตทุกวันนี้ ผมรู้สึกเหมือนเวลาไม่ค่อยพอ ตื่นแต่เช้าไปทำงาน แต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีพระอาทิตย์ก็แทบจะ say good bye แล้ว แต่พอผมไปใช้ชีวิตวันหยุดที่ต่างจังหวัด หลับแล้วตื่น ตื่นแล้วงีบ ก็งงว่าทำไมเวลามันไหลเอื่อยๆ เรื่อยเฉื่อยซะเหลือเกิน ... หรือว่า มันน่าจะถึงเวลาแล้ว ที่เราอาจจะต้องพิจารณาชีวิตให้มากขึ้น ดึงตัวเองให้ช้าลงนิด อารมณ์ประมาณเคี้ยวข้าวให้ช้าลง กำซาบรสชาติอาหารให้มากขึ้น, เดินให้ช้าลง เพื่อให้...

Post#2-139: ถกเถียงกันเรื่องอะไร

Post#2-139: คืนวานนี้ ผมนั่งประชุมกับเพื่อนรุ่นน้องตั้งแต่ 4 ทุ่มครึ่งจนถึงตีหนึ่งกว่าๆ -"- ประเด็นที่ต้องถกเถียง (ซึ่งผมขอเปลี่ยนเป็นใช้คำว่า "หารือ" ดีกว่านะครับ เพราะเป็นการคุยกันด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์) ทำความเข้าใจกันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า ความพยายามที่จะปรับตรรกะทางความคิดให้ตรงกัน เพื่อนรุ่นน้องผมคนนี้ เป็น Genius ทางด้านบัญชีและการเงิน ส่วนผมมีความรู้ทางด้านนี้เท่าห่างอึ่ง แต่ผมก็ชดเชยด้วยความรู้และประสบการณ์ในเชิงปฏิบัติการที่เค้าอาจจะมีน้อยกว่า สำหรับผมแล้ว การทำความเข้าใจในเชิงตรรกะทางความคิดนี้สำคัญมาก เพราะตรรกะจะเป็นตัวกำหนดแนวคิดทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ดังนั้นหากตรรกะของคนที่หารือกันอยู่ยังบิดเบี้ยวไม่ตรงกัน ก็ไม่มีทางที่จะทำความเข้าใจในเรื่องที่คุยกันได้โดยเด็ดขาด ด้วยความที่เพื่อนรุ่นน้องของผมเป็นพวก Genius ดังนั้นผมจึงต้องใช้เวลาในการลำดับความคิดตัวเองให้เข้าใจเค้าค่อนข้างนาน เพราะสมองของ Genius จะคิดทุกอย่างเป็นองค์รวมแบบรวบยอดได้เร็วเกินกว่าสมองของคนธรรมดาอย่างผมจะตามทัน ... ในการหารือกันนั้น มันเป็นเรื่องสำคัญที่ผมต้องเข้า...

Post#2-138: อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ

Post#2-138: เมื่อวานระหว่างไปเดินตรวจร้าน ผมก็คุยกับลูกน้องที่ไปด้วยกัน ก็คุยเรื่องนั่น นู่น นี่ ไปเรื่อยล่ะครับ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมว่าน่าจะนำมาแชร์ เรื่องที่ว่าก็คือเรื่อง "นินทา" เธอเล่าว่า "มีบางทีเหมือนกันที่หนูก็เม้าท์หรือนินทาพี่ อย่าโกรธนะคะ" ผมตอบน้องไปว่า "ไม่โกรธหรอกจ้า มันเป็นเรื่องปกติมาก ลูกน้องส่วนใหญ่ก็เม้าท์นายทั้งนั้นแหละ" ว่ากันตามจริงแบบไม่ต้องสร้างภาพเลยครับ ผมไม่ได้ตอบเอาเท่ แต่หมายความตามที่พูดจริงๆ ก็ในเมื่อไม่มีอะไรถูกใจใครก็ตามแบบ 100% ก็ย่อมจะเป็นปกติอยู่เอง ที่เราต้องระบายความไม่ถูกใจนี้ให้ใครบางคนฟัง แน่นอนว่า ก็มักจะออกมาในแนวเม้าท์, นินทา ไม่ก็โพสต์ด่าแบบลอยๆ และมักจะเต็มไปด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล เมื่อมีอารมณ์มากกว่าเหตุผล ก็เป็นธรรมดาที่คำพูดหรือคำโพสต์ก็มักจะแรงเกินจริง ทั้งๆ ที่ในใจอาจจะไม่ได้หมายความแรงๆ อย่างที่พูดหรือโพสต์เลย ก็แค่อยากจะให้สะใจมากกว่า ซึ่งก็เป็นการระบายความไม่พอใจในอก ก็แค่นั้น สำคัญที่เวลาจะนินทาหรือพูดถึงบุคคลที่ 3 น่ะ ต้องระวังด้วยว่า เราพูดกับใครหรือโพสต์ที่ไหน เพราะผู้หวังดี...

Post#2-137: วัฒนธรรมที่แตกต่าง

Post#2-137: หลายวันก่อน หลังประชุมเสร็จ ผมก็นั่งคุยสัพเพเหระกับ Partner ชาวฝรั่งเศส หนึ่งในเรื่องที่คุยก็คือ มุมมองของฝรั่งที่มีต่อพฤติกรรมต่างๆ ที่คนไทยทำ และผมก็สะท้อนมุมมองของคนไทยต่อพฤติกรรมของฝรั่งเช่นกัน อย่างเรื่องการทานอาหารกลางวัน ผมโดนต่อว่าจาก Partner ว่า หมู่นี้ไม่ค่อยไปทานข้าวกับเค้าเลย เค้าสงสัยว่าทำไม? ผมตอบไปว่า ไม่ได้มีอะไรในกอไผ่เลย แค่ผมรู้สึกว่าฝรั่ง (ไม่รู้จะเป็นเฉพาะเค้ารึเปล่า) ใช้เวลาทานกลางวันนานมาก อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ซึ่งผมรู้สึกว่ามันเป็นการใช้เวลาอย่างไร้สาระจนเกินไป เค้ามีสีหน้าประหลาดใจอย่างมาก พร้อมทั้งอธิบายว่า คนฝรั่งเศส (คาดว่าไม่ทุกคน) ทานอาหารเสมือนเป็นศิลปะ เป็นช่วงเวลาผ่อนคลายและรื่นรมย์กับการสนทนา ส่วนผมก็อธิบายว่า คนไทยที่ทำงาน office มักทานอาหารกลางวันเสมือนเป็นหน้าที่ที่ต้องทำมากกว่า ไม่มีเวลามารื่นรมย์แบบที่เค้าว่า โดยเฉพาะตัวผมเอง ซึ่งปกติจะรบกวนให้เลขาฯ ซื้อมาให้ทานบน Office ซึ่งผมใช้เวลาทานอย่างมากแค่ 15 นาที เท่านั้น เป็นมุมมองและวิธีคิดที่ผมไม่มีทางเข้าใจและเห็นดีเห็นงามไปกับเค้า และแน่นอนว่าเค้าก็ไม่มีวันเข้าใจว่า...

Post#2-136: ทีหลังอย่าเข้าใจไปเอง

Post#2-136: ค่ำนี้ผมมีโอกาสได้มานั่งเต๊ะจุ๊ยทานอาหารค่ำกับเพื่อนๆ ที่โรงแรมโอเรียนทัล ^^ ก็ไม่ได้จะร่ำรวยอะไรหรอกครับ เพราะเหตุเกิดจากความเข้าใจผิดของเพื่อนผม ที่ไปสรุปเอาเองว่า มี Buffet ทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนผมน่ะรู้มาก่อนแล้วว่าไม่มี Buffet เพราะให้เลขาฯ เช็คตอนจองโต๊ะ แต่ก็ดันปากหนักไม่ได้ถามเพื่อนว่า ทำไมเลือกมาทานที่นี่ จากที่คิดว่าจะมาทานให้เต็มที่ ก็เลยกลายเป็นทานกันแบบเกรงใจ ค่าที่ราคาอาหารมันถูกซะเมื่อไหร่ สรุปว่ามื้อนี้ทาน 5 คน แบบไม่อิ่ม (แต่แน่นอนว่าอร่อยมาก) เกือบหมื่นสามพันบาท ทั้งนี้เกิดจากความทึกทักเอาเองของพวกเราแท้ๆ ... หันกลับมาดูชีวิตจริงของเราบ้าง มีกี่ครั้งที่เราชอบทึกทักเอาเองว่าเรื่องนั้นต้องเป็นแบบนี้ หรือสรุปเอาเองว่าเรื่องนี้ต้องเป็นแบบโน้น ซึ่งบ่อยครั้งที่เรื่องราวที่เราทึกทักหรือสรุปเอาเองน่ะ มันมักจะโอละพ่อเป็นหน้ามือกับหลังเท้าออกบ่อยๆ ความเข้าใจผิดๆ อาจจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเราไม่ประมาท เพราะแค่เอ่ยปากถาม ความจริงย่อมปรากฏออกมาอย่างแน่นอน ... จะเห็นว่า เมื่อทำอะไรหรือตัดสินอะไรอย่างรู้ไม่จริงนี่ ส่งผลเสียมากกว่าที่คิดนะครับ ดังนั้...

Post#2-135: อารมณ์ผันแปร

Post#2-135: เคยสังเกตอารมณ์ตัวเองบ้างมั๊ยครับ ว่าวันๆ นึง อารมณ์เราเปลี่ยนกี่ครั้ง? อย่างผมวันนี้ รู้สึกว่าอารมณ์ดีมาทั้งวัน แต่มาพลิกกลับด้วยประชุมสุดท้ายก่อนกลับบ้าน ที่ทำให้รู้สึกว่าวันดีๆ ไม่น่าจบแบบนี้เลย พับผ่า! ความจริงมันก็เป็นเรื่องปกติมากๆ ที่วันๆ นึงเราจะต้องพบกับสถานการณ์สารพัด เป็นทั้งฝ่ายสร้างดราม่าและฝ่ายที่รับดราม่า แตกต่างไปตามหน้าที่และลักษณะงานที่เผชิญอยู่ อารมณ์สั่นไหวเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะอารมณ์โกรธนี่ เป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงได้ยากจริงๆ เพราะต่อให้ไม่เป็นผู้กระทำ ก็อาจเป็นผู้รับแรงกระทำอย่างที่บอก สำคัญแต่ว่า Chain Reaction ที่เกิดขึ้นหลังจากอารมณ์สั่นไหวนั้น จะเป็นยังไงต่างหาก? (ลองอ่าน Post#91 นะครับ) เราห้ามความโกรธไม่ได้...แต่เราเลือกที่จะจัดการกับความโกรธได้ ว่ามั๊ยครับ? ... สมัยผมยังเป็นเด็กน้อย ก็มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์เช่นกัน มาวันนี้แม้จะเข้าวัยกลางคนแล้ว ความเป็นคนใจร้อนก็ยังอยู่ เพียงแต่ตามทันอารมณ์ของตัวเองมากขึ้น ระงับและหาทางแสดงออกต่ออารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้นเท่านั้น อย่างผมเองเวลาอารมณ์เสีย ผมจะบอกลูกและภรรยาว่า ตอนนี้อารมณ์ไม่ดี ขออ...

Post#2-134: ถูกต้องหรือถูกใจ ยังไงดี?

Post#2-134: บ่ายวันนี้ผมไปประชุมกับ International Law Firm แห่งหนึ่ง เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับข้อกฎหมายบางประการ หลังการประชุมกว่า 2 ชั่วโมง ผมพบข้อสรุปว่า ความถูกต้องในด้านกฎหมาย อาจจะไม่ได้หมายถึงความถูกต้องในด้านอื่นๆ หมายความว่า บางเรื่องที่ถูกกฎหมาย อาจจะผิดธรรมเนียมปฏิบัติก็ได้ หรือบางเรื่องถ้าทำตามขั้นตอนให้ถูกกฎหมายเป๊ะๆ อาจกินเวลากว่าการตกลงกันนอกรอบก็เป็นได้ ... หันกลับมามองชีวิตจริงบ้าง ผมก็พบว่า เราเจอสถานการณ์แบบนี้อยู่ไม่น้อย เช่น ถ้าจะตัดสินลงโทษลูกน้องตามกฎระเบียบบริษัทแบบเป๊ะๆ คงไม่มีใครอยู่ได้ ในทำนองเดียวกับถ้ามัวแต่โอ๋ลูกน้องจนละเลยกฎไปซะทั้งหมด ก็ไม่ไหวเหมือนกัน คนที่อยู่ในฐานะเจ้านายทุกคน จึงต้องเลือกที่จะบังคับหรือไม่บังคับใช้กฎต่างๆ ซึ่งก็ต้องดูให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ บางครั้งจึงต้องเลือกระหว่างการเป็นผู้บริหารที่เห็นแก่บริษัทฯ หรือเป็นเจ้านายที่เห็นแก่ลูกน้อง ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ยากมากอย่างหนึ่งของการเป็นนาย และถือเป็นสิ่งพิสูจน์วุฒิภาวะของความเป็นนายด้วยเช่นกัน ... ตัดสินโดยมุ่งแต่ความถูกต้อง อาจต้องแลกมาด้วยความไม่ถูกใจ ช้ำใจ และเสียใจ ...

Post#2-133: เนื้อหาและปกหนังสือ

Post#2-133: แม้เราจะรู้อยู่แก่ใจว่า ไม่เป็นการดีที่จะตัดสินใครก็ตามด้วยรูปลักษณ์และการแต่งกาย แต่เราก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกที่มีต่อรูปภายนอกไปได้ ถามว่าถ้าเห็นคนแต่งตัวดี สะอาดสะอ้าน กับคนที่แต่งตัวแปลกๆ หรือแลดูสกปรก เราอยากจะอยู่ใกล้กับคนไหน? ถ้าอยู่คนเดียว จะเป็นแบบไหนก็ตามสบาย อยากจะแสดงความเป็นปัจเจกก็ได้เลย ไม่ต้องเกรงใจใคร...แต่ถ้ายังต้องอยู่ในสังคมแล้วละก็ การสำนึกรู้ถึง "กาละ" และ "เทศะ" จึงเป็นเรื่องจำเป็น รูปสภาวะจึงเป็นสิ่งไม่อาจละเลยและมองข้ามได้ ตราบเท่าที่เรามิได้ถือครองเพศบรรพชิต ... หน้าสวยแต่ใจทรามน่ะมีให้เห็นกันดาษดื่น เช่นเดียวกันกับหน้าหล่อแต่ใจสัตว์ก็เป็นข่าวอยู่ไม่ว่างเว้น บางคนก็อาจจะไม่ได้เกิดมาพร้อมรูปสมบัติ แต่เมื่อเรารู้ถึงจิตใจเค้า เรากลับรู้สึกว่า เค้าหรือเธอ สวยหรือหล่ออย่างน่าอัศจรรย์ น่าเสียดายที่ต้องบอกว่า ถ้าจะเปิดโอกาสให้ใครได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา ก็จำต้องเข้าใจว่า เราต้องสร้างตัวตนภายนอกให้ไม่เป็นที่รังเกียจของคนทั่วไปก่อน ... ถ้าเราไปดูคอนโดฯ แห่งหนึ่ง แล้วพบว่า ทั้งการตกแต่ง บรรยากาศ การเดินทาง และราคา ...

Post#2-132: งานใหม่ได้เงินมากกว่า

Post#2-132: เกือบเที่ยงคืนวานนี้ มีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งโทรมาหาผม เธอบอกว่า เธอมีเรื่องไม่สบายใจบางอย่าง แม้ไม่ได้เจอหน้าและคุยกันเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ถ้าจู่ๆ ถ้าโทรมาหาผมดึกขนาดนี้ ย่อมต้องเป็นเรื่องไม่เล็กน้อยแน่ๆ อย่างน้อยก็สำหรับเธอ ตัดไปที่ประเด็นที่เธอไม่สบายใจเลยก็คือ เธอรู้สึกโดดเดี่ยวในที่ทำงานใหม่ และรู้สึกว่าเธอไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมองค์กรนี้ได้ เธอรู้สึกเหมือนคุยคนละภาษากับผู้คนรอบข้าง เหมือนรู้สึกว่า มิติทางตรรกะและวิธีคิดมันต่างกันจนเกินไป พักไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ ... จากข้อมูลที่ผมมี เดือนนี้ ถือเป็น peak month แห่งการโยกย้ายงาน หลังรับโบนัสแล้ว บางคนก็จะถือเป็นเงินก้นถุงสำหรับการต่อสู้ครั้งใหม่ เหตุผลของการย้ายงานอาจจะต่างกัน แต่แน่นอนว่าต้องมีแรงผลักและแรงดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง (Post#113) ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญของแรงดึง มักหนีไม่พ้นเรื่อง "ค่าตอบแทน" ไม่ต้องให้กูรูที่ไหนมาบอก ทุกคนก็ฟันธงได้อย่างชัดเจนว่า เรื่องเงินเรื่องทอง เป็นเรื่องสำคัญ แต่ผมอยากสะกิดให้คิดไปด้วยว่า เรื่องความเข้ากันได้กับวัฒนธรรมองค์กรใหม่น่ะ...

Post#2-131: บัวเต่าถุย

Post#2-131: มีประโยคหนึ่งที่ผมยึดไวัเตือนใจตัวเองเสมอ เพื่อให้มีสติระลึกว่า คนเราต้องรู้จัก "ให้" ก่อนจะเป็นผู้ "รับ" "Ask not, what your country can do for you. Ask what, you can do for your country." แปลว่า "อย่าถามว่าประเทศนี้จะทำอะไรให้แก่ท่าน แต่จงถามว่า ท่านจะทำอะไรให้แก่ประเทศนี้ได้บ้าง" ผู้กล่าวประโยคนี้ ก็คือ John F. Kennedy ประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐฯ ในชีวิตการทำงานของเรา ถ้าหากใครมีประโยคนี้อยู่ในใจบ้าง ก็คงจะดีไม่น้อย ... ผมพบว่า วิธีคิดแบบนี้ ส่วนมากเราจะพบในสังคมการทำงานของชาวเอเซียมากกว่าสังคมการทำงานของชาติอื่นๆ นี่นับเป็นหนึ่งในข้อดีที่ผมชื่นชมและยกย่องในความทุ่มเททำงานของชาวเอเซียเสมอมา และเป็นวิธีคิดที่ควรสั่งสอนและถ่ายทอดให้เป็นวัฒนธรรมสำคัญของชาวเอเซียตลอดไป ในขณะที่สังคมอื่นๆ นั้น นอกเวลางานเป็นไม่สน เกินกว่าที่ระบุในสัญญาก็ไม่แคร์ เอาผลประโยชน์ของตัวเองไว้ก่อน องค์กรจะเดือดร้อนหรือจะเป็นจะตายยังไงก็ไม่ยี่หระ คนที่เชี่ยวชาญและช่ำชองในเรื่องเอารัดเอาเปรียบองค์กรนี่ จะถนัดมากในการหา "ช่องว่าง" ...

Post#2-130: ประเมินปีเก่า...ตั้งเป้าปีใหม่

Post#2-130: บ่ายแก่ๆ ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปประชุมกับทีม Merchandise ของ Department Store แห่งหนึ่ง เป็นธรรมดาที่เมื่อขึ้นปีใหม่ ก็ต้องมาประชุมกันเพื่อทำ Performance Review และทำ Target Set ร่วมกัน Supplier เจ้าใหญ่ๆ น่ะคุยกันไปหมดตั้งแต่ต้น Q4 ปีที่แล้ว ส่วนเจ้าเล็กๆ อย่างผมก็ต้องรอคุยในปีนี้ล่ะครับ ซึ่งหวังว่าในปีต่อๆ ไป จะมีโอกาสได้คุยแต่เนิ่นๆ บ้าง ^^ ... แต่ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่หรือเล็ก การประชุมนี้มีความสำคัญมาก เพราะเป็นการประชุมเพื่อทำความเข้าใจร่วมกันกับลูกค้า ได้พูดคุยสอบถามพร้อมทั้งตอบข้อสงสัยกันและกันว่า ปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง ได้เรียนรู้อะไร ต้องแก้ไขจุดไหน หรือต้องปรับปรุงอย่างไรบ้าง? และที่สำคัญที่สุดก็คือ ปีนี้จะวางแผนการเติบโตของยอดขายอย่างไร? หลักการสำคัญยิ่งในการประชุมนี้ คือต้องมีทั้งบทสรุปเชิงกลยุทธ์ควบคู่ไปกับตัวเลขเชิงวิเคราะห์ไปด้วยเสมอ เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายมีโอกาสได้เข้าใจตรรกะซึ่งกันและกัน และได้ประเมินถึงความเป็นไปได้ของความคาดหวัง (ตัวเลขยอดขาย) ได้อย่างชัดเจน ... ผมเคยเป็นทั้ง Client และ Supplier มาแล้วทั้งคู่ จึงเข้าใจหัวอ...

Post#2-129: Synergy

Post#2-129: บ่ายๆ วันนี้ผมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนมุมมองและแนวคิดในการบริหารธุรกิจกับเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง ใจความสำคัญอยู่ที่การรวมพลังในการทำงาน หรือที่เรามักจะใช้คำทับศัพท์ว่า Synergy หัวใจหลักๆ ของ Synergy ก็คือ 1+1 ทำยังไงให้มากกว่า 2? หมายความว่า การรวมพลังกันให้พลังที่มากกว่าเดิมนั่นเอง บ่อยครั้งที่ Synergy ให้ผลตรงกันข้ามก็มี หมายถึงหลักการที่ต้องการรวมพลังน่ะเป็นเรื่องดี แต่เมื่อนำมาปฏิบัติจริงแล้ว กลับให้ผลลัพธ์เป็นตรงกันข้าม เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นให้เห็นแทบจะเป็นประจำทุกวันในชีวิตของการทำงาน เพราะแนวคิดและหลักการมาจากเจ้านาย แต่ผู้นำไปปฏิบัติน่ะคือน้องๆ ซึ่งหากแปลความของแนวคิดผิดหรือบิดเบือนไป แผนปฏิบัติงานก็ย่อมจะผิดหรือบิดเบือนตามไปด้วย ขนาดความพยายามภายในองค์กรเดียวกันยังเห็นความล้มเหลวอยู่บ่อยๆ นับประสาอะไรกับการประสานข้ามองค์กร ฉะนั้น หากต้องการให้ 1+1 > 2 จึงต้องกำกับไปถึงวิธีปฏิบัติด้วย เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ผลลัพธ์จะไม่ติดลบ หรือ 1+1 < 2 นอกจากที่การแปลความหมายจะเป็นสาเหตุให้ Synergy ไม่ work แล้ว อีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญก็คือ ego นั่นเอง ...

Post#2-128: เกียรติยศของมืออาชีพ

Post#2-128: บ่ายแก่ๆ วันนี้ ผมมีโอกาสได้นั่งคุยกับน้องคนหนึ่ง ถึงเรื่องที่อยู่ดีๆ เธอก็ลาออกจากงาน ทั้งๆ ที่เพิ่งเริ่มทำงานได้แค่ประมาณ 2 เดือน ตลอด 10 กว่าปีที่รู้จักกัน น้องเค้าเป็นคนที่ตั้งใจทำงานมากคนหนึ่ง หนักเอาเบาสู้ ไม่เกี่ยงงาน แต่เหตุไฉนถึงออกจากงานนี้เร็วนัก? แต่หลังจากฟังเธอเล่าแล้ว ผมก็ได้แต่เห็นด้วยว่า เธอตัดสินใจไม่ผิด และแน่นอนว่าผมเชื่อว่าเธอไม่ได้เล่าเรื่องเท็จให้ผมฟัง เพื่อให้ตัวเองดูดี ... บริษัทที่เธอเพิ่งลาออกมา มีการประเมินพนักงานครบ 60 วัน และ 120 วัน ซึ่งเรื่องเกิดขึ้นที่การประเมิน 60 วันนี่ล่ะครับ ผลปรากฏว่า เธอได้คะแนนประเมินที่ E (คือต่ำสุด) ในทุกหัวข้อประเมิน ซึ่งเธอถึงกับอึ้งเพราะการประเมินที่เธอได้คะแนนแบบนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตลอด 10 ปีที่เธอทำงานมา เมื่อเธอถามถึงเหตุผลที่ได้คะแนนที่ว่า ห้วหน้าของเธอซึ่งเป็นระดับผู้อำนายการฝ่าย ไม่สามารถให้คำตอบและเหตุผลที่เป็นรูปธรรมได้ บอกเพียงแค่ว่า "พี่รู้สึกว่าน้อง ทำไม่ได้หรอก" เธอบอกว่า เธอทำใจได้ถ้านายรู้สึกว่า เธอทำได้ไม่ดี เพราะการประเมินก็คือการสะท้อนว่านายมองว่าเธอทำงานยังไง แต่ที่เ...

Post#2-127: ปีใหม่ต้องดีกว่าปีเก่า

Post#2-127: เมื่อเช้านี้มีเพื่อนท่านหนึ่งส่งพรอันเป็นมงคลมาให้ ผมเห็นว่าเตือนใจให้สติและเข้ากับช่วงปีใหม่นี้อย่างที่สุด ก็เลยขออนุญาตนำมาแชร์ครับ เป็นคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ...ท่านว่าไว้อย่างนี้ครับ ... ปีใหม่ต้องดีกว่าปีเก่า ดวงใจใหม่ นี้ดี กว่าปีใหม่ คือรู้อะไร มากกว่ากัน แหละท่านขา หมายถึงมี ความกว้างขวาง ทางปัญญา ให้อาตมา ก้าวล่วงทุกข์ รุกขึ้นไป อันปีใหม่ นั้นต้องดี กว่าปีเก่า ใหม่เปล่าๆ ไม่มีดี นี้ไม่ไหว ดีแต่ปาก ใจไม่ดี ดีทำไม ให้ผีไย เย้ยเยาะ เหมาะหรือเรา สะอาดกว่า สว่างกว่า สงบกว่า เรียกว่าใหม่ ยิ่งขึ้นมา อย่ามัวเขลา ใกล้นิพพาน ยิ่งขึ้นไป ไม่หลงเงา เรียกว่าเรา มีปีใหม่ ใหม่จริงเอย ... สรุปแล้ว ท่านสอนอะไรเราบ้าง? หนึ่ง คือก้าวเข้าสู่ปีใหม่ ขอให้มีหัวใจดวงใหม่ ไม่ใช่ยังเป็นแบบเดิม ต้องรู้มากขึ้น ยกระดับจิตขึ้น ให้รู้เท่าทันทุกข์มากขึ้น สอง คืออย่าแต่แค่พูดดี แต่ต้องคิดดีด้วย แม้คนอื่นไม่รู้ แต่ตัวเราหรือวิญญาณก็ล่วงรู้ ดังนั้น ถ้าปากไม่ตรงกับใจ ก็น่าละอายเสียเปล่าๆ สาม คือจงใฝ่หาที่ที่สะอาด สว่าง และสงบ ผมเข้าใจว่า...