Skip to main content

Post#2-140: ชีวิตติดปีกดีจริงๆ รึเปล่า?

Post#2-140:
ด้วย Life Style ของคนในเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ชีวิตจึงเต็มไปด้วยความเร่งรีบมากขึ้น อะไรก็ตามที่ตอบโจทย์ให้ชีวิตเร็วขึ้นได้ ก็มักจะได้รับความนิยม

ผมสังเกตว่า ไม่ว่าจะสินค้าหรือบริการก็ตาม ล้วนแต่นำจุดขายในเรื่องสะดวกและรวดเร็วมาเป็นตัวชูทั้งสิ้น

ที่น่าขำสำหรับผมก็คือ สินค้าบางอย่างเช่น Laptop หรือ Smartphone น่ะ ต่อให้มี spec ที่ดีขึ้นอีกนิด เราก็แทบจะแยกความแตกต่างไม่ได้เลย เพราะการใช้งานของคนทั่วไปไม่ได้ต้อง download หรือ upload ข้อมูลที่มีขนาดใหญ่มากๆ แต่กระนั้นเราก็ยังบ้าตามเวลามีรุ่นใหม่ๆ ออกมาทุกที (โดยเฉพาะผมเองที่บ้า gadget มากๆ)

ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตทุกวันนี้ ผมรู้สึกเหมือนเวลาไม่ค่อยพอ ตื่นแต่เช้าไปทำงาน แต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีพระอาทิตย์ก็แทบจะ say good bye แล้ว แต่พอผมไปใช้ชีวิตวันหยุดที่ต่างจังหวัด หลับแล้วตื่น ตื่นแล้วงีบ ก็งงว่าทำไมเวลามันไหลเอื่อยๆ เรื่อยเฉื่อยซะเหลือเกิน

...

หรือว่า มันน่าจะถึงเวลาแล้ว ที่เราอาจจะต้องพิจารณาชีวิตให้มากขึ้น ดึงตัวเองให้ช้าลงนิด อารมณ์ประมาณเคี้ยวข้าวให้ช้าลง กำซาบรสชาติอาหารให้มากขึ้น, เดินให้ช้าลง เพื่อให้เห็นความงามรายทางบ้าง

บางครั้งและบางวัน ผมรู้สึกเหมือนผมรีบเร่งกับชีวิตจนไม่มีความสุข ทำงานเหมือนหุ่นยนต์ที่เคลื่อนไหวตามคำสั่ง มุ่งแต่จะให้คนรอบข้างพอใจ แต่ที่น่าเสียใจก็คือ ไม่เคยเกรงใจตัวเอง

ใช้ชีวิตที่ช้าลงนิดๆ คงไม่น่าจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมกับคนรอบข้างมากนัก แต่อาจช่วยให้ตัวเราผ่อนคลายกับชีวิตมากขึ้นอีกหน่อย

...

เราเองยังรู้สึกไม่พอใจทุกครั้งเมื่อไปเที่ยวกับ "ชะโงกทัวร์" ที่เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ เราถึงชอบที่จะไปเที่ยวกันเอง ที่ๆ เราอยากใช้เวลาที่ใดที่หนึ่งได้ตามแต่ใจเราต้องการ อาจจะไปเที่ยวน้อยที่หน่อย แต่ความประทับใจในแต่ละที่ที่ไปช่างต่างกันเหลือเกิน

ดังนั้น คนที่ใช้เวลาเชิงปริมาณจึงเป็นเรื่องของคนที่เป็น "ทาสเวลา" ส่วนคนที่ใช้เวลาในเชิงคุณภาพ จึงเป็นเรื่องของคนที่เป็น "เจ้าของเวลา"

อ้อ! สำหรับคนที่เป็นพนักงานระดับปฏิบัติการที่วันๆ ยังไม่สามารถกำหนดเวลาด้วยตัวเองไม่ได้ ก็ไม่ต้องมึนนะครับ เพราะเราทำงานกับนายทุกวัน ควรจะจับทางได้บ้างแล้ว ว่าจะจัดสรร slot เวลาของตัวเองให้ synchronize กับนายยังไง

ขอให้มีความสุขกับการจัดสรรเวลานะครับ ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...