Post#2-132:
เกือบเที่ยงคืนวานนี้ มีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งโทรมาหาผม เธอบอกว่า เธอมีเรื่องไม่สบายใจบางอย่าง
แม้ไม่ได้เจอหน้าและคุยกันเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ถ้าจู่ๆ ถ้าโทรมาหาผมดึกขนาดนี้ ย่อมต้องเป็นเรื่องไม่เล็กน้อยแน่ๆ อย่างน้อยก็สำหรับเธอ
ตัดไปที่ประเด็นที่เธอไม่สบายใจเลยก็คือ เธอรู้สึกโดดเดี่ยวในที่ทำงานใหม่ และรู้สึกว่าเธอไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมองค์กรนี้ได้
เธอรู้สึกเหมือนคุยคนละภาษากับผู้คนรอบข้าง เหมือนรู้สึกว่า มิติทางตรรกะและวิธีคิดมันต่างกันจนเกินไป
พักไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ
...
จากข้อมูลที่ผมมี เดือนนี้ ถือเป็น peak month แห่งการโยกย้ายงาน หลังรับโบนัสแล้ว บางคนก็จะถือเป็นเงินก้นถุงสำหรับการต่อสู้ครั้งใหม่
เหตุผลของการย้ายงานอาจจะต่างกัน แต่แน่นอนว่าต้องมีแรงผลักและแรงดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง (Post#113) ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญของแรงดึง มักหนีไม่พ้นเรื่อง "ค่าตอบแทน"
ไม่ต้องให้กูรูที่ไหนมาบอก ทุกคนก็ฟันธงได้อย่างชัดเจนว่า เรื่องเงินเรื่องทอง เป็นเรื่องสำคัญ แต่ผมอยากสะกิดให้คิดไปด้วยว่า เรื่องความเข้ากันได้กับวัฒนธรรมองค์กรใหม่น่ะ ก็สำคัญเหมือนกันนะ
...
ย้อนกลับไปที่ case ของเพื่อนรุ่นน้องของผม เธอก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้นำเอาปัจจัยเรื่องความเข้ากันได้ขององค์กรใหม่เข้ามาคิด มองแต่เรื่องเงินอย่างเดียว
ตอนหนึ่งของการสนทนา เธอพูดไปสะอื้นไปว่า "หนูไม่น่าเห็นแก่เงินเลยพี่" ผมตอบไปว่า "เห็นแก่เงินน่ะ ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ที่ผิดน่ะคือ การไม่มองปัจจัยอื่นประกอบด้วยต่างหาก"
ได้เงินเดือนมากขึ้น แล้วได้พิจารณาถึงความเข้ากันได้กับสภาพแวดล้อมและลักษณะงานใหม่รึเปล่า?
ตอนไปสัมภาษณ์น่ะ ได้ถามเค้ามั๊ย หรือในหัวมีแต่เรื่องเงิน?
ได้เงินเพิ่มขึ้น 3 เดือน แล้วต้องตกงานต่ออีกไม่รู้กี่เดือน จะมีค่าอะไร?
...
หลายคนมักหาเหตุผลดีๆ ให้ตัวเองย้ายงานใหม่ หลังจากได้กลิ่นเงินมาล่อ และมักตามืดใจบอด ไม่พิจารณาให้รอบคอบถึงข้อดี-ข้อเสีย ของการย้ายงาน
ไม่ผิดหรอกครับที่เราเห็นแก่เงิน แต่ผิดที่เราไม่เห็นแก่อนาคต ดังนั้น ให้น้ำหนักเรื่องเงินให้มากได้ แต่อย่าให้เป็น 100%
เงินเติมความสุขทางกายได้ แต่ไม่แน่ว่าจะทำให้ความสุขทางใจเต็มเปี่ยม
ที่เก่าได้เงินน้อยกว่าที่ใหม่ แต่ทำงานด้วยใจที่เป็นสุข เทียบกับเงินที่มากขึ้น แต่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง?
ถามตัวเองให้แน่ว่า เงินที่จะได้มากขึ้น คุ้มมั๊ยกับความมั่นใจว่าจะเข้ากับงานใหม่ได้? ถ้ามั่นใจ อย่ากลัว ลุยเลยครับ
แต่ถ้ากลัวๆ กล้าๆ หรือรู้ตัวว่าพรรษาไม่ถึง ก็อย่าพึ่งเลยครับ
พลาดขึ้นมา เราจะตกอยู่ในสภาพกลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง
...
ส่วนเพื่อนรุ่นน้องของผม คำแนะนำของผมก็คือ อย่าตัดสินใจตอนที่อารมณ์ไม่ปกติ...
จะทำงานต่อหรือลาออก ให้พิจารณาด้วยสมอง 60% และหัวใจ 40% แต่ให้เริ่มจากเรื่องหัวใจก่อน และมีข้อแม้ว่า ตัดสินใจแล้วอย่าแกว่ง
สภาพที่สมองเข้าใจแต่หัวใจไม่ยอมรับน่ะ ทำให้ชีวิตก้าวหน้าไปไหนไม่ได้ ดังนั้นต้องมีหัวใจที่เด็ดเดี่ยวเท่านั้น จึงจะทำให้การพิจารณาด้วยสมองเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล และสอดคล้องกับใจ
สำหรับคนที่กำลังลังเลกับอนาคตในหน้าที่การงาน ก็ขอให้โชคดีกับการตัดสินใจทุกท่านนะครับ
Comments
Post a Comment