Post#2-131:
มีประโยคหนึ่งที่ผมยึดไวัเตือนใจตัวเองเสมอ เพื่อให้มีสติระลึกว่า คนเราต้องรู้จัก "ให้" ก่อนจะเป็นผู้ "รับ"
"Ask not, what your country can do for you. Ask what, you can do for your country."
แปลว่า "อย่าถามว่าประเทศนี้จะทำอะไรให้แก่ท่าน แต่จงถามว่า ท่านจะทำอะไรให้แก่ประเทศนี้ได้บ้าง"
ผู้กล่าวประโยคนี้ ก็คือ John F. Kennedy ประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐฯ
ในชีวิตการทำงานของเรา ถ้าหากใครมีประโยคนี้อยู่ในใจบ้าง ก็คงจะดีไม่น้อย
...
ผมพบว่า วิธีคิดแบบนี้ ส่วนมากเราจะพบในสังคมการทำงานของชาวเอเซียมากกว่าสังคมการทำงานของชาติอื่นๆ
นี่นับเป็นหนึ่งในข้อดีที่ผมชื่นชมและยกย่องในความทุ่มเททำงานของชาวเอเซียเสมอมา และเป็นวิธีคิดที่ควรสั่งสอนและถ่ายทอดให้เป็นวัฒนธรรมสำคัญของชาวเอเซียตลอดไป
ในขณะที่สังคมอื่นๆ นั้น นอกเวลางานเป็นไม่สน เกินกว่าที่ระบุในสัญญาก็ไม่แคร์ เอาผลประโยชน์ของตัวเองไว้ก่อน องค์กรจะเดือดร้อนหรือจะเป็นจะตายยังไงก็ไม่ยี่หระ
คนที่เชี่ยวชาญและช่ำชองในเรื่องเอารัดเอาเปรียบองค์กรนี่ จะถนัดมากในการหา "ช่องว่าง" จากกฎและระเบียบ รวมไปถึงสัญญา ทั้งจากสิ่งที่เขียนไว้หรือไม่ได้เขียนไว้ก็ตาม
เรียกว่า เก่งแบบ "ศรีธนญชัย" ก็น่าจะใช่ล่ะครับ
แน่นอนว่า คนเอเซียที่เป็นแบบหลังก็มีอยู่ และคนชาติอื่นที่ทำแบบแรกก็ใช่ว่าไม่มีนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมเหมารวมไปซะหมด
...
องค์กรอยู่ไม่ได้ ผมก็นึกไม่ออกว่าเราจะอยู่ได้ยังไง? แน่นอนว่า เราอาจจะสละเรือได้ แต่สละเรือโดยไม่ควรบ่อยๆ ระวังจะต้องลอยคอในทะเลไปเรื่อยๆ เพราะจะไม่มีใครอยากรับขึ้นเรืออีกนะครับ
ดังนั้น ใครที่ทุ่มเททำงาน เห็นแก่ผลประโยชน์ของบริษัทฯ เป็นที่ตั้ง ก็สมควรได้รับการยอมรับนับถือ และเป็นเครื่องการันตีได้ถึงความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ของตน
ส่วนพวกที่ทำงานเช้าชามเย็นชาม ชิ่งได้เป็นชิ่ง เอาเปรียบได้เป็นทำ มาสาย กลับก่อน เบียดบังองค์กรสารพัด โดยไม่ได้มีความละอายแก่ใจเลยแม้แต่น้อย พวกนี้แม้จะไม่ได้รับโทษทันตา แต่คงหาความเจริญในชีวิตข้างหน้าได้ยากเต็มทีครับ
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คนที่ทำงานทุ่มเท แต่องค์กรไม่เห็นคุณค่าก็มี แต่อย่างน้อยความทุ่มเทนั้น ก็จะสร้างให้เค้ามีความรู้ ความชำนาญ และความสามารถ เพียงพอที่จะไปต่อยอดหรือสร้างอนาคตกับองค์กรอื่นที่เห็นคุณค่าในตัวเค้าได้ หรือแม้กระทั่งเป็นทุนต่อยอดไปสร้างอนาคตของตัวเอง
ส่วนพวกที่เป็นเหาฉลาม แบบวันๆ ไม่ทำงาน รอแต่สิ้นเดือน แล้วก็เชี่ยวชาญเป็นพิเศษกับการกล่าวร้ายองค์กร เข้าทำนอง "กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา" นี่ ผมได้แต่ขอให้สำนึกให้ได้ กลับตัวให้ทัน
ไม่งั้นทางข้างหน้าก็คงมีแต่ความมืดบอด เพราะไม่มีทุนความดี และความรู้ ความสามารถ ติดตัว
...
ใครเจอคนจำพวกเหาฉลามที่ว่า ถ้าเค้ายังอยู่ในจำแนกของ "บัว 4 เหล่า" ก็เตือนๆ เค้าบ้างครับ ถือว่าเอาบุญ
แต่ถ้าเตือนก็แล้ว บอกก็แล้ว ก็ยังไม่ดีขึ้น แสดงว่าเค้าไม่ได้อยู่ในจำแนกที่ว่า...แต่เป็นบัวเหล่าที่ 5 คือประเภท "บัวเต่าถุย" ก็หนีให้ห่างเถอะครับ
เดี๋ยวจะมัวหมองไปด้วยเปล่าๆ -"-
มีประโยคหนึ่งที่ผมยึดไวัเตือนใจตัวเองเสมอ เพื่อให้มีสติระลึกว่า คนเราต้องรู้จัก "ให้" ก่อนจะเป็นผู้ "รับ"
"Ask not, what your country can do for you. Ask what, you can do for your country."
แปลว่า "อย่าถามว่าประเทศนี้จะทำอะไรให้แก่ท่าน แต่จงถามว่า ท่านจะทำอะไรให้แก่ประเทศนี้ได้บ้าง"
ผู้กล่าวประโยคนี้ ก็คือ John F. Kennedy ประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐฯ
ในชีวิตการทำงานของเรา ถ้าหากใครมีประโยคนี้อยู่ในใจบ้าง ก็คงจะดีไม่น้อย
...
ผมพบว่า วิธีคิดแบบนี้ ส่วนมากเราจะพบในสังคมการทำงานของชาวเอเซียมากกว่าสังคมการทำงานของชาติอื่นๆ
นี่นับเป็นหนึ่งในข้อดีที่ผมชื่นชมและยกย่องในความทุ่มเททำงานของชาวเอเซียเสมอมา และเป็นวิธีคิดที่ควรสั่งสอนและถ่ายทอดให้เป็นวัฒนธรรมสำคัญของชาวเอเซียตลอดไป
ในขณะที่สังคมอื่นๆ นั้น นอกเวลางานเป็นไม่สน เกินกว่าที่ระบุในสัญญาก็ไม่แคร์ เอาผลประโยชน์ของตัวเองไว้ก่อน องค์กรจะเดือดร้อนหรือจะเป็นจะตายยังไงก็ไม่ยี่หระ
คนที่เชี่ยวชาญและช่ำชองในเรื่องเอารัดเอาเปรียบองค์กรนี่ จะถนัดมากในการหา "ช่องว่าง" จากกฎและระเบียบ รวมไปถึงสัญญา ทั้งจากสิ่งที่เขียนไว้หรือไม่ได้เขียนไว้ก็ตาม
เรียกว่า เก่งแบบ "ศรีธนญชัย" ก็น่าจะใช่ล่ะครับ
แน่นอนว่า คนเอเซียที่เป็นแบบหลังก็มีอยู่ และคนชาติอื่นที่ทำแบบแรกก็ใช่ว่าไม่มีนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมเหมารวมไปซะหมด
...
องค์กรอยู่ไม่ได้ ผมก็นึกไม่ออกว่าเราจะอยู่ได้ยังไง? แน่นอนว่า เราอาจจะสละเรือได้ แต่สละเรือโดยไม่ควรบ่อยๆ ระวังจะต้องลอยคอในทะเลไปเรื่อยๆ เพราะจะไม่มีใครอยากรับขึ้นเรืออีกนะครับ
ดังนั้น ใครที่ทุ่มเททำงาน เห็นแก่ผลประโยชน์ของบริษัทฯ เป็นที่ตั้ง ก็สมควรได้รับการยอมรับนับถือ และเป็นเครื่องการันตีได้ถึงความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ของตน
ส่วนพวกที่ทำงานเช้าชามเย็นชาม ชิ่งได้เป็นชิ่ง เอาเปรียบได้เป็นทำ มาสาย กลับก่อน เบียดบังองค์กรสารพัด โดยไม่ได้มีความละอายแก่ใจเลยแม้แต่น้อย พวกนี้แม้จะไม่ได้รับโทษทันตา แต่คงหาความเจริญในชีวิตข้างหน้าได้ยากเต็มทีครับ
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คนที่ทำงานทุ่มเท แต่องค์กรไม่เห็นคุณค่าก็มี แต่อย่างน้อยความทุ่มเทนั้น ก็จะสร้างให้เค้ามีความรู้ ความชำนาญ และความสามารถ เพียงพอที่จะไปต่อยอดหรือสร้างอนาคตกับองค์กรอื่นที่เห็นคุณค่าในตัวเค้าได้ หรือแม้กระทั่งเป็นทุนต่อยอดไปสร้างอนาคตของตัวเอง
ส่วนพวกที่เป็นเหาฉลาม แบบวันๆ ไม่ทำงาน รอแต่สิ้นเดือน แล้วก็เชี่ยวชาญเป็นพิเศษกับการกล่าวร้ายองค์กร เข้าทำนอง "กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา" นี่ ผมได้แต่ขอให้สำนึกให้ได้ กลับตัวให้ทัน
ไม่งั้นทางข้างหน้าก็คงมีแต่ความมืดบอด เพราะไม่มีทุนความดี และความรู้ ความสามารถ ติดตัว
...
ใครเจอคนจำพวกเหาฉลามที่ว่า ถ้าเค้ายังอยู่ในจำแนกของ "บัว 4 เหล่า" ก็เตือนๆ เค้าบ้างครับ ถือว่าเอาบุญ
แต่ถ้าเตือนก็แล้ว บอกก็แล้ว ก็ยังไม่ดีขึ้น แสดงว่าเค้าไม่ได้อยู่ในจำแนกที่ว่า...แต่เป็นบัวเหล่าที่ 5 คือประเภท "บัวเต่าถุย" ก็หนีให้ห่างเถอะครับ
เดี๋ยวจะมัวหมองไปด้วยเปล่าๆ -"-
Comments
Post a Comment