Skip to main content

Post#2-137: วัฒนธรรมที่แตกต่าง

Post#2-137:
หลายวันก่อน หลังประชุมเสร็จ ผมก็นั่งคุยสัพเพเหระกับ Partner ชาวฝรั่งเศส

หนึ่งในเรื่องที่คุยก็คือ มุมมองของฝรั่งที่มีต่อพฤติกรรมต่างๆ ที่คนไทยทำ และผมก็สะท้อนมุมมองของคนไทยต่อพฤติกรรมของฝรั่งเช่นกัน

อย่างเรื่องการทานอาหารกลางวัน ผมโดนต่อว่าจาก Partner ว่า หมู่นี้ไม่ค่อยไปทานข้าวกับเค้าเลย เค้าสงสัยว่าทำไม?

ผมตอบไปว่า ไม่ได้มีอะไรในกอไผ่เลย แค่ผมรู้สึกว่าฝรั่ง (ไม่รู้จะเป็นเฉพาะเค้ารึเปล่า) ใช้เวลาทานกลางวันนานมาก อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ซึ่งผมรู้สึกว่ามันเป็นการใช้เวลาอย่างไร้สาระจนเกินไป

เค้ามีสีหน้าประหลาดใจอย่างมาก พร้อมทั้งอธิบายว่า คนฝรั่งเศส (คาดว่าไม่ทุกคน) ทานอาหารเสมือนเป็นศิลปะ เป็นช่วงเวลาผ่อนคลายและรื่นรมย์กับการสนทนา

ส่วนผมก็อธิบายว่า คนไทยที่ทำงาน office มักทานอาหารกลางวันเสมือนเป็นหน้าที่ที่ต้องทำมากกว่า ไม่มีเวลามารื่นรมย์แบบที่เค้าว่า โดยเฉพาะตัวผมเอง ซึ่งปกติจะรบกวนให้เลขาฯ ซื้อมาให้ทานบน Office ซึ่งผมใช้เวลาทานอย่างมากแค่ 15 นาที เท่านั้น

เป็นมุมมองและวิธีคิดที่ผมไม่มีทางเข้าใจและเห็นดีเห็นงามไปกับเค้า และแน่นอนว่าเค้าก็ไม่มีวันเข้าใจว่าผมมีความสุขได้ไงกับการทานอาหารกลางวันแบบที่ว่า

อีกเรื่องนึงที่น่าสนใจก็คือ เค้ามักจะ panic และกังวลกับเรื่องที่ผมรู้สึกว่า เป็น "เรื่องขี้ผง" เช่นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องหรือเกี่ยวกับข้อกฎหมาย ที่ทุกองค์กรต้องได้สัมผัสแน่ๆ มากบ้างน้อยบ้าง

เค้ารู้สึกว่าต้องเรียกประชุมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่ผมรู้สึกว่า ไม่เห็นจะมีประเด็นอะไรให้ต้องกังวลเลย จะประชุมทำไมให้คนอื่นเค้าตกอกตกใจตามไปด้วย คุยกันเฉพาะกลุ่ม Decision Maker ก็พอ

หรืออีกเรื่องที่เค้าจะซีเรียสมาก ถ้าส่ง message หาผม แล้วผมไม่ตอบ ทั้งๆ ที่ส่งมาหาผมในวันอาทิตย์แค่ประโยคว่า How are you?

ผมก็แค่รู้สึกประมาณว่า วันธรรมดาก็เจอกันออกบ่อยแล้ว วันหยุดทั้งที จะส่งมาทำไม (ฟะ) แต่เค้ารู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ผมต้องตอบซะหน่อย

คราวหน้าถ้าส่งมาอีก จะตอบว่า I fine thank you love you พร้อมส่ง clip ABC ชักกระตุกไปให้!

...

หลายเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่า วัฒนธรรมและวิธีคิดของฝรั่งกับเรา นั้น (หรือจริงๆ อาจจะเป็นแค่เค้ากับผมที่เป็นแบบนี้?) แตกต่างกันมากแบบไม่ทันได้รู้สึกมาก่อน

ดังนั้น บางเรื่องบางอย่าง เราจึงไม่ควรใช้ความเคยชินหรือวิถีไทยๆ ในการทำงานร่วมกับฝรั่ง และเช่นกันที่ฝรั่งก็ต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับการใช้ชีวิตในประเทศไทยด้วย

ถึงแม้จะต่างคนต่างมึนกับพฤติกรรมที่ไม่คุ้นชินของแต่ละฝ่ายบ้าง แต่ผมก็รู้สึกว่า เราไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทั้งหมดก็ได้ สำคัญที่ต่างฝ่ายก็ต่างต้อง fine tune เข้าหากัน บางเรื่องเราต้องแก้ และบางเรื่องเพื่อนเราก็ต้องเปลี่ยน

...แต่ยังไงก็ยังทำใจทานข้าวกลางวัน 2 ชั่วโมงไม่ได้จริงๆ ครับ -"-

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...