Post#2-146:
ผมเชื่อว่า ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกเหมือนกับผม ว่าการจากกันแบบปัจจุบันทันด่วนเป็นเรื่องยากที่จะทำใจเสมอ
เกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา ผมทำงานร่วมกับ Attorney at Law ท่านหนึ่ง เพื่อแก้ปัญหาบางอย่างของบริษัทหนึ่งที่ผมเป็นที่ปรึกษาให้
เค้าเป็นคนหนุ่มที่มีสมองเฉียบแหลม และเท่าที่สัมผัส เค้ามีความสามารถในการลำดับประเด็นได้อย่างดีเยี่ยม สามารถอธิบายขั้นตอนความซับซ้อนต่างๆ ของข้อกฎหมายให้คนธรรมดาทั่วไปเข้าใจได้อย่างง่ายดาย
เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ผมได้ไปประชุมกับเค้า เพื่อสรุปประเด็นและขั้นตอนการทำงานต่อไป ก่อนจากกันยังนัดกันว่า หลังจบ project ต้องไปดื่มฉลองกันหน่อย
จากนั้นก็คุยกันผ่าน email ไปๆ มาๆ ตามปกติ นัดกันว่าอังคารหน้าจะประชุมกันอีกที...
คืนหนึ่งเมื่อต้นสัปดาห์นี้เอง ผมนั่งทำงานไป หูก็ฟัง TV ไปด้วย อารมณ์แบบเปิด TV เป็นเพื่อนแก้เหงา แล้วก็แว๊บๆ ว่า มีคนตกตึกตายอะไรประมาณนี้ ผมก็ฟังผ่านๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไรเลย ทำงานเสร็จก็เข้านอน
รุ่งเช้าไปถึง office ผมก็เช็ค email ตามปกติ แล้วผมก็เจอความช็อคระดับ 7 richter scale...ผมอึ้งทำงานไม่ได้อยู่พักใหญ่ๆ เหมือนมีคนเอาค้อนปอนด์ขนาดยักษ์มาทุบหัว
ใช่แล้วครับ คนที่ตกตึกตายที่ว่า ก็คือเค้านั่นเอง!
...
ไม่มีใครรู้ว่า ตัวเราเองเหลือเวลาอยู่บนโลกนี้เท่าไหร่ ดังที่คุณวินทร์ เลียววาริณ (นักเขียนในดวงใจอีกท่านของผม) เคยเขียนหนังสือไว้เล่มหนึ่ง ว่าจริงๆ แล้ว วันนี้ คือ "วันแรกของวันที่เหลือ"
อย่ามัวแต่ผัดวันประกันพรุ่ง เพราะไม่แน่ว่า เราอาจไม่มีวันพรุ่งนี้ให้ลืมตาตื่นขึ้นมา เราไม่อาจรู้ด้วยซ้ำ ว่ามัจจุราชกำลังลับคมเคียวรอเราอยู่ที่ไหน และเราอาจไม่มีแม้แต่โอกาสได้ล่ำลาคนที่เรารักและรักเรา
แม้ความตายจะเป็นสิ่งไม่อาจเลี่ยง ชะตากรรมเป็นสิ่งไม่อาจฝืน แต่ก็ได้แต่หวังว่า เราทุกคนจะได้มีโอกาสบอกลาผู้คนที่เรารัก ก่อนที่จะต้องออกเดินทางไกลแบบไม่ย้อนกลับ
และแม้ไม่อาจเลี่ยงชะตาฟ้า แต่ผมก็เชื่อลึกๆ ว่ากรรมดีจากชาตินี้หรือชาติก่อน ก็อาจผ่อนหนักเป็นเบา ให้เราได้เดินทางไกลแบบมีเวลาตั้งตัวบ้าง
อนิจจังชีวิต...
Comments
Post a Comment