Skip to main content

Posts

Showing posts from April, 2015

Post#2-235: คนนั้นพูดที...คนนี้พูดอย่าง

Post#2-235: เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมานี้เอง ผมมึนอยู่พักใหญ่ๆ กับการประชุมกับทีมงาน เหตุเพราะตัวละครในการประชุมมาไม่พร้อมกัน ก็เลยเกิดเหตุการณ์คนนั้นพูดที คนนี้พูดอย่าง เราคนที่อยู่ตรงกลางเลยเกิดอาการ "มึน" ว่าตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ แน่นอนครับ ว่าหลังจากอดรนทนอยู่ได้ไม่นาน ผมก็ต้องเรียกทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาคุยกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา ใครมีอะไรที่เข้าใจคลาดเคลื่อน (ไม่ว่าจะคลาดเคลื่อนโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม) ก็จะได้คุยกันให้เข้าใจทีเดียว ความจริงผมเกลียดสถานการณ์แบบนี้ค่อนข้างมาก เพราะนอกจากทำให้เสียเวลาทำงานแล้ว ยังอาจเป็นปมให้เกิดความไม่พอใจระหว่างหน่วยงานได้อีกด้วย ... เมื่อมีคนสองฝ่ายที่เข้าใจไม่ตรงกัน ย่อมต้องมีฝ่ายหนึ่งเข้าใจผิด (ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจหรือไม่) และย่อมต้องมีฝ่ายที่สร้างความเข้าใจผิด (แน่นอนครับ ว่ามีทั้งตั้งใจจะสร้างความเข้าใจผิดนั้นขึ้น และโดยไม่ตั้งใจจริงๆ ก็มี) โดยมากแล้ว ผมมักจะเรียกทั้งสองฝ่ายมาทำความเข้าใจพร้อมกัน และเมื่อผมอธิบายจบแล้ว จะให้ทั้งสองฝ่ายไปคุยกันเอง ก่อนที่จะเข้ามาสรุปกับผมพร้อมๆ กันอีกครั้ง ทำแบบนี้...

Post#2-234: co-campaign

Post#2-234: เมื่อช่วงเย็นวันนี้ผมมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ถึงโอกาสในการทำ co-campaign ร่วมกัน ในยามเศรษฐกิจฝืดเคือง ขายของยาก ทางที่องค์กรส่วนใหญ่เลือกทำก็คือการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งบางครั้งกลายเป็นการย้ำให้การขายฝืดไปอีก กลายเป็นวัฏจักรอันน่าสะพรึงกลัวสำหรับการค้าขายในยามวิกฤตแบบนี้ ประเด็นสำคัญที่ผมคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ก็คือ การสร้างความร่วมมือบางอย่างร่วมกัน หรือที่เรียกว่า co-campaign นี่ล่ะครับ เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนรวมเงินกันไปทานข้าวที่ภัตตาคารก็แล้วกันครับ สมมติว่ามีเงินคนละ 1 พันบาท ถ้าต่างคนต่างไป ก็อาจสั่งอาหารได้แค่ไม่กี่จาน แต่พอรวมกันเป็น 2 พันบาท คราวนี้ก็กลายเป็นสั่งอาหารมื้อหรูได้ การรวมงบการตลาดกับธุรกิจที่เกื้อหนุนกันก็คล้ายๆ แบบนี้ล่ะครับ ใช้งบเท่าเดิมหรืออาจจะน้อยลงแต่กลับได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้น และยังทรงพลังเพิ่มขึ้นในเชิงการรับรู้ของลูกค้าอีกด้วย ใครที่เคยไปออก Roadshow จะรู้ดีว่า ค่าใช้จ่ายนั้นสูงมาก แต่ถ้ารวมกันหลายๆ Brand ค่าใช้จ่ายที่เป็น Fixed Cost บางอย่างจะถูก share กันระหว่างแต่ละ Brand ทำให้ลดต้นทุนได้เยอะ มิหนำซ้ำยังเป็นการ...

Post#2-233: ร้อง Karaoke

Post#2-233: หลายๆ ครั้งที่ผมชวนคุยเกี่ยวกับเรื่อง "ความรู้" และ "ปัญญา" และให้บังเอิญที่เช้านี้มีคน forward วาทะต่อไปนี้มาให้ เค้าว่ามาแบบนี้ครับ... "Knowledge is knowing what to say. Wisdom is knowing when to say it." แปลว่า "ความรู้ หมายถึง รู้ว่าจะต้องพูดอะไร ส่วนปัญญา หมายถึง รู้ว่าจะต้องพูดตอนไหน" คนมีความรู้ในโลกนี้มีอยู่มาก ส่วนคนมีปัญญานั้นมีอยู่น้อย...แม้จะมีความรู้มาก แต่หากนำมาใช้ไม่ถูกเวลาก็อาจไร้ค่าหรือบางครั้งอาจเป็นโทษด้วยซ้ำไป ดังนั้น แค่มีความรู้ว่าจะพูดอะไรจึงยังไม่พอ แต่ต้องมีปัญญาตรึกตรองด้วยว่า สมควรจะพูดสิ่งนั้นตอนไหนและเมื่อไหร่ สรุปเป็นสมการแบบบ้านๆ ของผม ก็คือ ความรู้ + กาละเทศะ = ปัญญา สำนวนไทยก็เคยสอนไว้ ว่า "ปลาหมอตายเพราะปาก" หมายความว่า บางครั้งคนเราก็มักพลาดเพราะคำพูดของตัวเอง เปรียบเทียบให้ชัดขึ้นอีกนิดดีมั๊ยครับ? เหมือนเราไปร้อง Karaoke นั่นแหละครับ แม้ว่าเราจะมีเนื้อเสียงที่ไพเราะมาก แต่เราร้องคร่อมจังหวะตลอดเวลา ถามว่าเพลงที่เราร้องจะเสนาะหูได้ยังไง? เพลงจะไพเ...

Post#2-232: เรื่องงานไม่กลัว...ปวดหัวก็แต่เรื่องคน

Post#2-232: ผมยืนยันได้ว่า เรื่องที่เจ้านายเกือบทุกคนในทุกประเภทและทุกขนาดขององค์กรมักจะปวดหัว ส่วนใหญ่มักหนีไม่พ้นเรื่อง "คน" ในโลกแห่งความจริง เรามักวางแผนงานได้ไม่ยาก ไม่ว่างานจะซับซ้อนยังไง ก็รับรองว่าเขียนออกมาเป็นแผนได้หมด แต่เรามักไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จในเรื่องการวางแผนเรื่องคน ... ก็ต้องบอกว่า มันก็เป็นธรรมดาโลกล่ะครับ ก็ในเมื่อลูกน้องของเรามาจากร้อยพ่อพันแม่ จะให้การตัดสินใจใดๆ ก็ตามของเราถูกใจลูกน้องทุกคนย่อมเป็นไปได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น ต่างคนต่างมีวิธีคิดเป็นปัจเจกของตัวเอง ประชุมวางแผนร่วมกันไว้ เวลาไปลงมือทำจริงๆ ก็เปลี่ยนแผนซะเองก็มี... ที่สำคัญ มักจะเปลี่ยนโดยไม่บอกใครซะด้วย...ซึ่งแน่นอนว่า คนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็เดือดร้อนไปตามๆ กัน อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ... นอกจากปัญหาที่ว่าแล้ว คนก็ยังมีเรื่องของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยค่อนข้างมาก โกรธกันก็ไม่คุยกัน หรือไม่ก็กลั่นแกล้งให้อีกฝ่ายงานสะดุด เรียกว่าสะใจข้า แต่ว่าองค์กรเสียหาย อีกฝ่ายโดนแกล้งมา ก็เอาสิ กรูต้องเอาคืน จะยอมโดนข้างเดียวได้ไง...ก็กลายเป็นว่า สะใจทั้งสองฝ่าย แต่บางคร...

Post#2-231: มรณานุสติ

Post#2-231: เคยได้ยินวาทะนี้มั๊ยครับ? "โลงศพไม่ได้มีไว้ใส่คนแก่...แต่มีไว้ใส่คนตาย" อ่านจบแล้ว...ผมสรุปเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากจะบอกว่า เราจงอย่าตั้งอยู่ในความประมาท ในทางพระท่านมักสอนให้เรารู้จักระลึกถึงความตายอยู่เป็นนิจ หรือที่เรียกว่า "มรณานุสติ" แน่นอนว่าพระท่านไม่ได้สอนให้เรากลัวตาย หากแต่สอนให้รู้จักเตรียมตัวรับความตาย ผู้คนส่วนใหญ่มักจะคิดไปเองว่า เกิด แล้วก็แก่ แก่แล้วถึงจะเจ็บ จากนั้นเจ็บแล้วถึงจะตาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเกิดนั้นน่ะเป็นสิ่งไม่แน่ แต่การตายนี่สิที่จริงแท้แน่นอน บางคนตายตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ก็คือการแท้งลูกนั่นเอง บางคนเกิดมาปุ๊บก็ตายปั๊บ...ดังนั้น วาทะข้างต้นจึงเป็นสัจพจน์โดยแท้ คือไม่ต้องรอจนแก่เราก็อาจจะตายก่อนได้ การเตรียมพร้อมที่จะรับความตายอยู่เสมอ จึงเป็นเรื่องจำเป็น เพราะแม้ขณะนี้ยังหายใจ แต่วินาทีต่อๆ ไปนั้นก็ไม่แน่... ใครจะมั่นใจได้ 100% ว่า เราจะยังมีวันพรุ่งนี้หรือไม่? ส่วนมากแล้ว เรามักจะเตรียมตัวรับความตายในระดับโลกียวัตร คือระดับในทางสามัญ เช่นทำประกันชีวิต หรือไม่ก็ทำพินัยกรรม เป็นก...

Post#2-230: ทำงานนอกสถานที่

Post#2-230: วันนี้ผมยกทีมมาทำงานที่หัวหิน ^^ ที่จริงแล้ว การที่ต้องร่วมแรงของทีมงานให้มาออกงานนอกสถานที่ เป็นการฝึกทีมที่ดีที่สุดรูปแบบหนึ่ง ก่อนมาออกงาน เราจะเห็นระดับฝีมือของทีมในการวางแผนและเตรียมความพร้อม จะได้เห็นว่ามี Rising Star ในทีมที่พร้อมจะก้าวขึ้นมาทำงานระดับบริหารบ้างหรือไม่? เมื่อมาออกงาน เราจะได้เห็นความสามารถในการแก้ปัญหาของทีมงาน เพราะที่หน้างานแผนงานอะไรที่เตรียมไว้ มักจะต้องมีอันที่ต้องผิดพลาดคลาดเคลื่อนอยู่เป็นปกติ ผมชอบเฝ้าสังเกตว่า ทีมจะมี improvise มากน้อยเพียงใด เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เฉพาะหน้า และที่สำคัญเราจะสามารถเห็นเนื้อแท้ของความมุ่งมั่นและทุ่มเทของทีมงานได้จากการออกงานแบบนี้ เมื่อเสร็จงาน เราจะได้เห็นความสามารถในการสรุปงานของทีม ได้เห็นความสามารถในเชิงวิเคราะห์และประเมิน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะก่อให้เกิดการพัฒนาและเติบโตในเชิงความคิดต่อๆ ไป หากน้องที่เป็นผู้นำทีมทำหน้าที่ได้ดี จะสามารถทำให้ทีมแสดงพลังทีมได้อย่างเจิดจ้า เราก็ควรอยู่วงนอกและปล่อยให้น้องๆ แสดงบทบาทของเค้าไป...ให้เค้าได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์อันมีค่าด้วยตัวเอง แต...

Post#2-229: จากปลายน้ำจนถึงต้นน้ำ

Post#2-229: เช้านี้ระหว่างรอประชุม ไปเจอเพื่อน post ไว้ใน Timeline ผมอ่านแล้วสะกิดใจให้พิจารณาตัวเองได้ดี ก็เลยนำมาแชร์ต่อครับ เป็นคำสอนของหลวงปู่ชา สุภัทโทครับ ท่านเทศน์สอนว่า... "การทำบุญ โจรมันก็ทำได้ มันเป็นปลายเหตุ การไม่กระทำบาปทั้งหลายทั้งปวงนั้นน่ะ เป็นต้นเหตุ" แปลกแต่จริงที่คนมักชอบทำบุญ แต่มักไม่หยุดทำบาป (ในที่นี้หมายรวมผมเข้าอยู่ในข่ายด้วยเช่นกันครับ) ... ทำไมหลวงปู่ท่านจึงว่า ทำบุญเป็นปลายเหตุ? ด้วยสติพิจารณาของผมเอง ผมว่าท่านกำลังให้สติเราเพื่อให้รู้เท่าทันว่า แม้การทำบุญเป็นสิ่งดีแต่ก็ถือเป็นกรรม (อันแปลว่าการกระทำ) เช่นกัน ต่างจากการไม่กระทำบาป ซึ่งไม่ก่อให้เกิดกรรม (คือไม่เกิดการกระทำ) เมื่อไม่เกิดกรรม ก็แปลว่าเราหยุดวงจรของการก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ใดๆ จากประโยคคำสอนของท่าน จึงเหมือนกับเราได้อ่านบทคัดย่อของ "กรรม" ไม่ก่อให้เกิดกรรม ไฉนเลยจะมีวงจรกรรม เป็นการตัดตั้งแต่ต้นน้ำโดยแท้ และเมื่อไม่มีต้นน้ำ จึงย่อมไม่มีปลายน้ำ เมื่อไม่เริ่มวงจรแห่งกรรม จึงไม่มีมูลเหตุให้เกิดกรรมดีและกรรมชั่ว ... แม้จะทำกรรมดี...

Post#2-228: สมรักสมรส

Post#2-228: บ่ายวันนี้ผมได้รับเกียรติจากน้องรักคนหนึ่ง ให้มาอยู่ในขบวนสู่ขอเจ้าสาว ^^ ทุกครั้งที่ได้มามีส่วนร่วมในงานแต่งงาน ผมต้องบอกว่า ผมมีความสุขมากๆ ยิ่งโดยเฉพาะไม่ได้มาเป็นแค่แขก แต่ได้มาร่วมเป็นหนึ่งในขบวนแห่งความสุขแบบนี้ วันธรรมดาของคนทั่วไป หากแต่เป็นหนึ่งในวันสำคัญที่สุดที่เค้าและเธอจะไม่มีวันลืมได้อย่างแน่นอน แน่นอนว่าบรรยากาศนั้นเต็มไปด้วยความแช่มชื่น เจ้าบ่าวและเจ้าสาวอยู่ในอาภรณ์และเครื่องประดับอันสวยงามเช่นเดียวกับแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน แต่อาภรณ์ที่โดดเด่นที่สุดของคู่บ่าวสาวหาใช่สิ่งที่ผมกล่าวมา...หากแต่อยู่ที่รอยยิ้มและประกายตาที่ดูแล้วมีความสุขกว่าใครก็ตามในงาน ^^ นอกจากสีหน้าของคุณพ่อคุณแม่ที่ผมชอบดูแล้ว (Post#2-74) ก็มีรอยยิ้มและประกายตาของคู่บ่าวสาวนี่ล่ะครับที่งดงามและติดตาตรึงใจเป็นที่สุด เป็นรอยยิ้มแห่งความสมหวังและเป็นประกายตาแห่งความหวัง...สมหวังที่วันที่รอคอยจะอยู่ด้วยกันมาถึงแล้ว และมีความหวังที่จะสร้างวันคืนที่ดีๆ ไปด้วยกัน เป็นรอยยิ้มที่มาจากหัวใจ และเป็นประกายตาที่สะท้อนความปิติจากก้นบึ้ง...ด้วยรอยยิ้มและประกายตาดังว่า ท...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#2-226: ธุรกิจ "กงสี"

Post#2-226: ช่วงค่ำวันนี้ได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเกี่ยวกับการทำธุรกิจครอบครัวของคนจีน หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ "กงสี" ว่ากันที่จริง ความยากของการทำธุรกิจกงสีนั้น แท้จริงไม่ได้อยู่ที่เรื่องอื่น แต่อยู่ที่เครือญาตินั้นมีระเบียบวินัยและรู้หน้าที่ของตนหรือไม่ คนที่อยู่ในกงสี ต้องมีสำนึกแห่งความเป็นเจ้าของเป็นอย่างสูง แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผมมักพบว่า การตีความหมายของการเป็นเจ้าของนั้น "ไม่ถูกต้อง" การเป็นเจ้าของธุรกิจนั้น ไม่ใช่จะทำอะไรตามใจได้ทุกอย่าง ยิ่งอยากให้ลูกน้องมีวินัย ตนเองยิ่งต้องเข้มงวดมากขึ้นเป็นเท่าทวี การเป็นหนึ่งในกงสี จึงไม่ใช่ทำอะไรก็ได้เพราะถือว่าตัวเองเป็นเจ้าของ แต่ทุกคนในกงสีจำต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ชัดเจน ก็ในเมื่อมีลูกจ้างมืออาชีพได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนในกงสีจำต้องฝึกให้ตัวเองเป็นเจ้าของมืออาชีพให้ได้... พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็หมายความว่า ตัวเองต้องเป็นเจ้าของที่ทุ่มเทและรับผิดชอบมากกว่าลูกจ้าง ไม่ใช่ถือว่าตัวเองเป็นเจ้าของจะทำยังไงก็ได้ มาทำงานกี่โมงก็ได้ เลิกงานกี่โมงก็ได้ หรือใช้เ...

Post#2-225: งานแต่งงานของชาวจีน

Post#2-225: เมื่อวานนี้ผมเล่าค้างไว้อีกนิด ถึงเรื่องที่มาร่วมงานแต่งงานของเพื่อนชาวจีนที่เมือง Yiwu ในอดีตก็คงพูดได้ว่า พิธีการแต่งงานของชาวจีนนั้น มีความเป็นพิธีอลังการงานสร้างค่อนข้างมาก ซึ่งอาจพบเห็นได้ทั่วไปในประเทศไทย หากคู่บ่าวสาวสืบเชื้อสายมาจากชาวจีน คิดว่าหลายๆ ท่านคงเคยได้ยินหรือเคยเข้าร่วมพิธีของชาวจีนกันมาบ้างนะครับ เช่น พิธีหมั้น, พิธีไปรับตัวเจ้าสาว, พิธียกน้ำชา, พิธีแต่งงาน ที่นี่เองก็เช่นกันครับ แต่เพื่อนผมเป็น Young Generation (อิอิ ผมมีเพื่อนเด็กครับ ไม่ใช่จะพยายามบอกว่าผมยังไม่แก่) ก็เลยเพิ่มพิธีแต่งงานแบบชาวตะวันตกเข้าไปด้วย กลายเป็นพิธีการแต่งงานที่กินเวลาการจัดยาวนานเกือบวันครึ่งเลยทีเดียว พิธีที่เป็นแบบจีนนี่ผมก็ฟังเพื่อนเล่าให้ฟังพร้อมกับดู clip ประกอบ ก็จะมีขั้นตอนคล้ายๆ กับที่เราดูหนังในหนังจอมยุทธ์นั่นเลยครับ ผิดแต่ว่าชุดแต่งกายของเจ้าบ่าวน่ะออกแนวปัจจุบันไปซะแล้ว ส่วนพิธีตะวันตกนี่ เรียกว่าเหมือนพธีในบ้านเราแบบลอกกันมาเลย (ไม่แน่ใจว่าใครลอกใคร) มีทั้งการถ่ายรูป Pre-wedding, มีการทำ Wedding Clip Presentation, มีการตัดเค้ก, มีการเชิญบ่าวส...

Post#2-224: Yiwu Commodity Market

Post#2-224: เมื่อวานจนกระทั่งวันนี้ ผมมีอันต้องมาปฏิบัติภารกิจที่ประเทศจีน เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วง Guangzhou Fair (กวางเจาแฟร์) ดังนั้น Flight จึงค่อนข้างแน่นถึงแน่นมาก เพราะใครๆ ก็ตามที่อยู่ใน field ของ trading ต่างก็ต้องมางานนี้ แต่สำหรับผม ผมมาที่นี่เพียงเพื่อจะต่อเครื่องตรงไปยังเมืองอี้อู่ เพื่อที่จะมาปฏิบัติภารกิจ 2 เรื่อง หนึ่ง คือ เพื่อมางานแต่งงานของเพื่อนชาวจีน และสอง เพื่อมาเยือน China Commodity City (CCC)  หรือที่คนส่วนใหญ่จะรู้จักกันในนาม Yiwu Commodity Market ซึ่งได้รับการยกย่องจาก UN และ World Bank ว่าเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าประเภท commodity (แปลว่า ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ) ขนาดเล็ก ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถามว่า CCC นั้น ใหญ่ขนาดไหนเหรอครับ? เอาเป็นว่า วันนี้ผมเดินสำรวจพร้อมกับแวะเจรจาธุรกิจกับบางร้านค้า เริ่มตั้งแต่ 10 โมงเช้า จนเกือบ 5 โมงเย็น ผมเดินได้แค่ครึ่ง floor เท่านั้นล่ะครับ... ถ้ายังคิดภาพไม่ออกว่าพื้นที่ใหญ่ขนาดไหน ผมสรุปเพิ่มให้ว่า กรณีที่ใครสนใจจะเดินให้ครบทุกตึกทุกชั้น คิดว่าคงตายซะก่อน เพราะ Yiwu Commodity Market...

Post#2-223: เด็กกับอุปัทวเหตุ

Post#2-223: เมื่อค่ำวานผมได้รับข่าวร้ายนิดหน่อยก็คือ เกิดอุปัทวเหตุเล็กน้อยกับลูกสาว เรื่องของเรื่องคือเธอไปกระโดดโลดเต้นกับเพื่อนอยู่บน Tambourine เท่านั้นเองครับ ความที่มีเด็กๆ มาเล่นกันเยอะ กระโดดกันไปๆ มาๆ ก็มีการกระทบกระทั่งบ้าง เบียดกันบ้าง ซึ่งลูกสาวผมโชคไม่ดีที่โดนเบียดจนจังหวะเสีย และลงพื้นผิดท่าทำให้ข้อเท้าพลิก ทีแรกผมได้รับข้อความและรูปจากภรรยา ก็คิดว่าคงไม่เป็นไรมาก แล้วแม่ลูกก็กำลังไปโรงพยาบาล ซึ่งบังเอิญว่าผมติดประชุมอยู่จึงยังปลีกตัวไปไม่ได้ จากนั้นไม่นานผมก็ได้รับข้อความและรูปที่ทำให้ผมตกใจ เพราะปรากฏว่า ลูกสาวกระดูกร้าว ต้องเข้าเฝือกอ่อนอย่างต่ำ 1-2 สัปดาห์... ระหว่างทางกลับบ้าน ผมนั่งคิดว่าจะคุยกับลูกสาวยังไง เธอถึงจะได้เรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ กลับถึงบ้าน ผมก็เรียกลูกสาวมา lecture เล็กน้อย โล่งใจอยู่นิดที่เธอยังเดินได้ ก็น่าจะเป็น sign ที่แสดงว่าไม่น่าจะเจ็บหนักหนาอะไรมากนัก ผมสอนลูกให้เข้าใจว่า บางครั้งการเล่นสนุกโดยไม่ได้ดูปัจจัยรอบข้างก็อาจส่งผลแบบนี้ได้ และผลของความไม่ระวังเพียงชั่วกระพริบตา ก็อาจนำมาซึ่งความเจ็บตั...