Post#2-231:
เคยได้ยินวาทะนี้มั๊ยครับ?
"โลงศพไม่ได้มีไว้ใส่คนแก่...แต่มีไว้ใส่คนตาย"
อ่านจบแล้ว...ผมสรุปเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากจะบอกว่า เราจงอย่าตั้งอยู่ในความประมาท
ในทางพระท่านมักสอนให้เรารู้จักระลึกถึงความตายอยู่เป็นนิจ หรือที่เรียกว่า "มรณานุสติ"
แน่นอนว่าพระท่านไม่ได้สอนให้เรากลัวตาย หากแต่สอนให้รู้จักเตรียมตัวรับความตาย
ผู้คนส่วนใหญ่มักจะคิดไปเองว่า เกิด แล้วก็แก่ แก่แล้วถึงจะเจ็บ จากนั้นเจ็บแล้วถึงจะตาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเกิดนั้นน่ะเป็นสิ่งไม่แน่ แต่การตายนี่สิที่จริงแท้แน่นอน
บางคนตายตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ก็คือการแท้งลูกนั่นเอง บางคนเกิดมาปุ๊บก็ตายปั๊บ...ดังนั้น วาทะข้างต้นจึงเป็นสัจพจน์โดยแท้ คือไม่ต้องรอจนแก่เราก็อาจจะตายก่อนได้
การเตรียมพร้อมที่จะรับความตายอยู่เสมอ จึงเป็นเรื่องจำเป็น เพราะแม้ขณะนี้ยังหายใจ แต่วินาทีต่อๆ ไปนั้นก็ไม่แน่...ใครจะมั่นใจได้ 100% ว่า เราจะยังมีวันพรุ่งนี้หรือไม่?
ส่วนมากแล้ว เรามักจะเตรียมตัวรับความตายในระดับโลกียวัตร คือระดับในทางสามัญ เช่นทำประกันชีวิต หรือไม่ก็ทำพินัยกรรม เป็นการไม่ประมาทที่จะทิ้งโลกียทรัพย์ไว้ให้คนข้างหลัง
แต่จะมีกี่คนที่เตรียมตัวในระดับโลกุตร...ขณะเขียนโพสต์นี้ ผมเองก็นั่งทบทวนตัวเองเช่นกันว่า ตัวเองมีโลกุตรทรัพย์เป็นทุนรอนในการเดินทางไปยังชาติหน้าเพียงพอหรือยัง?
เรามักห่วงโลกียทรัพย์ที่นำติดตัวไปไม่ได้ มากกว่าที่จะกังวลถึงโลกุตรทรัพย์ที่จะเป็นทุนรอนสำหรับการเดินทางไกลไปจนกว่าจะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร...ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกกี่อสงไขยกี่แสนมหากัปป์
"มรณานุสติ" จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกคน...มิใช่เพื่อให้ "กลัว" แต่หากเพื่อให้รู้จักระลึกถึงความตายให้จงควร เพื่อให้ได้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางไกลได้ทุกเมื่อ
...
ถามว่าจะต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง?
ก็ "ทาน ศีล ภาวนา" นั่นยังไงครับ อันเป็นปัจจัยสำหรับการเตรียมตัวเดินทางไกลที่ดีและถูกต้องที่สุด (Post#2-184)
ผมเองน่ะ ยอมรับว่ายังเตรียมตัวไม่พร้อมสำหรับการเดินทางไกล ว่าแล้วก็ขอไปเตรียมเสบียงธรรมให้เพียงพอก่อนนะครับ
Comments
Post a Comment