Skip to main content

Post#2-225: งานแต่งงานของชาวจีน

Post#2-225:
เมื่อวานนี้ผมเล่าค้างไว้อีกนิด ถึงเรื่องที่มาร่วมงานแต่งงานของเพื่อนชาวจีนที่เมือง Yiwu

ในอดีตก็คงพูดได้ว่า พิธีการแต่งงานของชาวจีนนั้น มีความเป็นพิธีอลังการงานสร้างค่อนข้างมาก ซึ่งอาจพบเห็นได้ทั่วไปในประเทศไทย หากคู่บ่าวสาวสืบเชื้อสายมาจากชาวจีน

คิดว่าหลายๆ ท่านคงเคยได้ยินหรือเคยเข้าร่วมพิธีของชาวจีนกันมาบ้างนะครับ เช่น พิธีหมั้น, พิธีไปรับตัวเจ้าสาว, พิธียกน้ำชา, พิธีแต่งงาน

ที่นี่เองก็เช่นกันครับ แต่เพื่อนผมเป็น Young Generation (อิอิ ผมมีเพื่อนเด็กครับ ไม่ใช่จะพยายามบอกว่าผมยังไม่แก่) ก็เลยเพิ่มพิธีแต่งงานแบบชาวตะวันตกเข้าไปด้วย กลายเป็นพิธีการแต่งงานที่กินเวลาการจัดยาวนานเกือบวันครึ่งเลยทีเดียว

พิธีที่เป็นแบบจีนนี่ผมก็ฟังเพื่อนเล่าให้ฟังพร้อมกับดู clip ประกอบ ก็จะมีขั้นตอนคล้ายๆ กับที่เราดูหนังในหนังจอมยุทธ์นั่นเลยครับ ผิดแต่ว่าชุดแต่งกายของเจ้าบ่าวน่ะออกแนวปัจจุบันไปซะแล้ว

ส่วนพิธีตะวันตกนี่ เรียกว่าเหมือนพธีในบ้านเราแบบลอกกันมาเลย (ไม่แน่ใจว่าใครลอกใคร) มีทั้งการถ่ายรูป Pre-wedding, มีการทำ Wedding Clip Presentation, มีการตัดเค้ก, มีการเชิญบ่าวสาวขึ้นเวที, ฯลฯ จะต่างก็แค่ไม่มีการคล้องพวงมาลัยให้คู่บ่าวสาวเม่านั้นล่ะครับ

ที่น่าสนใจก็คือ ธรรมเนียมการให้ของขวัญแก่ชาวจีนนั้น ก็จะมีของต้องห้ามบางอย่าง เช่น จะไม่มีการมอบนาฬิกา, ร่ม โดยเฉพาะถ้าเป็นเพื่อนผู้ชายแล้วล่ะก็ จะไม่มีการมอบหมวกสีเขียวให้โดยเด็ดขาด

ใครก็ตามที่จะซื้อของขวัญไม่ว่าจะเนื่องในเทศกาลใดก็ตามไปฝากเพื่อนชาวต่างชาติ อย่างน้อยก็ควรต้องค้นคว้าหาข้อมูลกันหน่อยนะครับ ไม่เช่นนั้นแทนที่จะทำให้ผู้รับยินดีที่ได้รับของขวัญจากเรา ก็อาจจะกลายเป็นทำให้เค้าต้องขุ่นข้องหมองใจไปซะเปล่าๆ ครับ

...

ต้องขออภัย Fanpage ทุกท่านด้วยครับ (จริงๆ Fanpage ของผมก็มีน้อยมากๆ อยู่แล้ว ซึ่งท่านที่ตามอ่านทุกวันนั้นก็ไม่ค่อยจะมี >_<) ที่ผมหายไป 3 วัน ด้วยเหตุเพราะประเทศจีนทำการ block ทั้ง Facebook, Line, Blogger, Google, Youtube และรวมไปถึง Instagram ดังนั้น ก็เลยต้องขอรวบยอดทีเดียว 3 post เลยนะครับ

พรุ่งนี้ (21/04) ผมจะกลับมารับใช้เป็นปกติเช่นเดิมครับ ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...