Post#2-234:
เมื่อช่วงเย็นวันนี้ผมมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ถึงโอกาสในการทำ co-campaign ร่วมกัน
ในยามเศรษฐกิจฝืดเคือง ขายของยาก ทางที่องค์กรส่วนใหญ่เลือกทำก็คือการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งบางครั้งกลายเป็นการย้ำให้การขายฝืดไปอีก กลายเป็นวัฏจักรอันน่าสะพรึงกลัวสำหรับการค้าขายในยามวิกฤตแบบนี้
ประเด็นสำคัญที่ผมคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ก็คือ การสร้างความร่วมมือบางอย่างร่วมกัน หรือที่เรียกว่า co-campaign นี่ล่ะครับ
เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนรวมเงินกันไปทานข้าวที่ภัตตาคารก็แล้วกันครับ สมมติว่ามีเงินคนละ 1 พันบาท ถ้าต่างคนต่างไป ก็อาจสั่งอาหารได้แค่ไม่กี่จาน แต่พอรวมกันเป็น 2 พันบาท คราวนี้ก็กลายเป็นสั่งอาหารมื้อหรูได้
การรวมงบการตลาดกับธุรกิจที่เกื้อหนุนกันก็คล้ายๆ แบบนี้ล่ะครับ ใช้งบเท่าเดิมหรืออาจจะน้อยลงแต่กลับได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้น และยังทรงพลังเพิ่มขึ้นในเชิงการรับรู้ของลูกค้าอีกด้วย
ใครที่เคยไปออก Roadshow จะรู้ดีว่า ค่าใช้จ่ายนั้นสูงมาก แต่ถ้ารวมกันหลายๆ Brand ค่าใช้จ่ายที่เป็น Fixed Cost บางอย่างจะถูก share กันระหว่างแต่ละ Brand ทำให้ลดต้นทุนได้เยอะ มิหนำซ้ำยังเป็นการรวมพลังกันในด้าน Marketing Activity ให้มีความน่าสนใจกันได้มากขึ้นอย่างที่ว่า
เรามักจะเห็นการรวมตัวไปทานข้าวมื้อหรูด้วยกันบ่อยๆ แต่เรามักไม่ค่อยเห็น co-campaign ระหว่างองค์กรเกิดขึ้นมากนัก ก็เพราะมัวแต่เกี่ยงกันว่า ใครจะรับภาระค่าใช้จ่ายมากกว่ากัน
ความจริงเวลาแชร์ค่าอาหารกัน คนที่รู้ตัวว่ากินจุมากกว่าคนอื่น ก็น่าจะออกมากหน่อย เป็นมารยาทที่ไม่ต้องให้ใครมาสอน
คนที่กินน้อยกว่า ก็ควรมองว่า แทนที่จะได้กินอาหารไม่กี่อย่าง ก็กลับกลายเป็นได้กินอาหารที่หลากหลายมากขึ้น
ประเด็นพิจารณาของ co-campaign คือการทำให้ win-win ทั้งคู่ ไม่ใช่มานั่งถกกันว่าใครจะ win มากกว่ากัน
รักจะเป็นเพื่อนกันยาวๆ จึงต้องมองไปที่เราจะสร้างประโยชน์ร่วมกันยังไง มากกว่าจะมาคิดว่า จะเอาเปรียบเพื่อนได้จากตรงไหน
รักจะทำ co-campaign ร่วมกัน จึงต้องมองว่าเราจะได้ประโยชน์มากขึ้นตรงไหน ไม่ใช่มามองว่าทำไมเราต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายมากกว่าอีกฝ่าย
ความดีของเพื่อน บางทีก็วัดได้จากความแฟร์ในการแชร์ค่าอาหาร ส่วนระดับความสามารถของผู้บริหาร เราก็อาจวัดได้จากวิธีคิด (มองส่วนเพิ่ม หรืองมอยู่กับส่วนลบ) เช่นกันครับ
Comments
Post a Comment