Skip to main content

Post#2-219: มาเล่นเกมกันเถอะ ^^

Post#2-219:
ระหว่างนั่งรอขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ ผมและภรรยาเลือกที่จะนั่งเล่นเกมบนมือถือกับลูกสาว

หลายๆ คนที่ผมรู้จัก มักจะไม่อยากให้ลูกเล่นเกม กลัวว่าจะเป็นโรคสมาธิสั้นบ้าง หรือไม่ก็กลัวว่าจะทำให้ลูกสายตาเสียบ้าง และที่หนักที่สุดก็คือกลัวว่าลูกจะเรียนรู้สิ่งที่ไม่ดีมาจากเกม

แต่ผมและอีกหลายๆ คนเช่นกันที่ไม่เห็นด้วยกับทัศนคติข้างต้น ค่าที่ว่าผมเองก็โตมากับการเล่นเกม และก็ไม่ได้รู้สึกว่า เกมส่งผลในทางร้ายใดๆ กับตัวผมเลย

เมื่อสมัยเด็กๆ ก็อาจมีบ้างที่ติดเกม อยากจะเล่นมันทั้งวันนั่นแหละครับ แต่ผมทำสัญญากับแม่ไว้ ว่าถ้าเกรดไม่ตกอยากจะเล่นเกมยังไงก็ว่าไปเลย แต่ถ้าเมื่อไหร่ไม่รู้จักรับผิดชอบ เกรดตก ก็เป็นอันว่าผมต้องลาขาดจากเกมโดยทันที

โชคดีที่ผมก็รักษาตัวรอดมาได้ นอกจากเกรดจะพอไปวัดไปวาได้แล้ว ยังแถมท้ายด้วยการที่ผมเรียนรู้อะไรจากเกมได้อย่างมากมาย

สมัยก่อนนู้นนนนน (นานมาแล้วครับ ^^) เราต้องเล่นเกมที่ต่อกับ TV (ไม่ได้มีมือถือหรือ Tablet แบบสมัยนี้) และเกมส่วนมากก็เป็นภาษาญี่ปุ่น ก็เลยทำให้ผมได้เรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นไปด้วย แม้จะไม่ถึงขนาดอ่านออกเขียนได้ แต่ก็ทำให้ผมพอรู้คำง่ายๆ ได้หลายคำทีเดียวครับ

เมื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น เราก็ไม่สามารถอ่านออก (แต่แม้ตอนนั้นจะเป็นภาษาอังกฤษ ผมก็ยังไม่น่าจะอ่านออกอยู่ดีแหละครับ) ทางเดียวที่จะเล่นเกมได้ ก็คือต้อง "มั่ว" เอา กดปุ่มนั้น ลองทางนี้ เรียกว่า เด็กสมัยนั้น มั่วเกมจนจบได้หลายคน

ผลพลอยได้จากการมั่ว ก็เลยทำให้เด็กที่เล่นเกม ได้ฝึกเชาว์และหาหนทางแก้ปัญหาด้วยตัวเองโดยปริยาย...เพราะถามเพื่อน เค้าก็ไม่รู้ จะถามครู ยิ่งไม่มีความหวัง และแน่นอนว่า ถ้าถามแม่ เป็นอันว่าโดนเอ็ดแน่ๆ

...

ย้อนมาถึงลูกสาวผมบ้าง ผมสนับสนุนให้เล่นเกมแบบอยู่ในสายตา ให้เค้าได้ลองเล่น ลองผิดลองถูก และได้ลองพยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน...ถ้าเล่นไม่ผ่านจริงๆ ผมหรือภรรยาถึงจะเข้าไปช่วย

ถ้าเราคอยเฝ้าดู, ช่วยแนะนำและอธิบายเค้า เรื่องที่จะไปติดเกมจนไม่เป็นอันทำอย่างอื่น ก็ยากหน่อยครับ...ส่วนมากที่เด็กมัวแต่เล่นเกมแบบหน้ามืดน่ะ เป็นเพราะผู้ปกครองเอาเกมให้เค้า แล้วก็ทิ้งให้เค้าอยู่กับมือถือ ไม่ก็ Tablet มากกว่า

ท่านที่มีลูกๆ หรือหลานๆ ก็ลองดูครับ...ถ้าใช้เวลาเล่นเกมกับเค้าอย่างเหมาะสม การเล่นเกมก็จะกลายเป็นกิจกรรมครอบครัวได้เหมือนกับกิจกรรมอื่นๆ เช่นกัน

มาเล่นเกมกันเถอะครับ ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...