Skip to main content

Post#2-210: เรื่องของ "เด็กชายตาบอด"

Post#2-210:
เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ผมนำมาจาก website หนึ่ง อ่านจบปุ๊บ ผมก็มีความรู้สึกว่า เวลาที่จะบอกเล่าอะไรให้ใครฟังนั้น มันจะมีประสิทธิภาพเพียงใด ขึ้นอยู่กับวิธีการเล่าเรื่องเป็นสำคัญ ลองอ่านตามกันดูนะครับ...

A Blind Boy Sat On The Steps Of A Building With A Hat By His Feet. He Held Up A Sign Which Said: "I Am Blind, Please Help." There Were Only A Few Coins In The Hat.

เด็กชายตาบอดคนหนึ่ง นั่งอยู่ที่บันไดทางขึ้นตึก โดยมีหมวกวางอยู่แทบเท้า เค้าวางป้ายหนึ่งไว้ มีข้อความเขียนว่า "ผมตาบอด ได้โปรดช่วยผมด้วย" แต่ก็มีเศษเหรียญจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่อยู่ในหมวก

A Man Was Walking By. He Took A Few Coins From His Pocket And Dropped Them Into The Hat. He Then Took The Sign, Turned It Around, And Wrote Some Words. He Put The Sign Back So That Everyone Who Walked By Would See The New Words.

มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา เค้าหยิบเหรียญจำนวนหนึ่งใส่ลงในหมวก จากนั้นเค้าก็หยิบแผ่นป้ายขึ้นมา พลิกกลับด้าน แล้วเขียนบางข้อความลงไป เค้าวางป้ายนั้นคืน เพื่อที่จะให้คนอื่นๆ ที่เดินผ่านไปมาได้เห็นข้อความใหม่นั้น

Soon The Hat Began To Fill Up. A Lot More People Were Giving Money To The Blind Boy. That Afternoon The Man Who Had Changed The Sign Came To See How Things Were. The Boy Recognized His Footsteps And Asked, "Were U The One Who Changed My Sign This Morning? What Did U Write?" 

จากนั้นไม่นาน หมวกก็เริ่มมีเหรียญเพิ่มขึ้น ผู้คนต่างก็ให้เงินแก่เด็กชายตาบอด แล้วบ่ายวันนั้น ชายคนที่เปลี่ยนข้อความบนป้าย ก็กลับมาดูว่าสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง เด็กชายจำเสียงฝีเท้าได้และได้ถามขึ้นว่า "คุณคือคนที่เปลี่ยนข้อความบนป้ายของผมเมื่อเช้านี้ใช่มั๊ยครับ?" "คุณเขียนอะไรลงไป?"

The Man Said, "I Only Wrote The Truth. I Said What U Said But In A Different Way."
What He Had Written Was: "Today Is A Beautiful Day & I Cannot See It."

ชายคนนั้นกล่าวว่า "ผมแค่เขียนความจริงเท่านั้น ผมเขียนในสิ่งที่คุณเขียนในวิธีที่ต่างออกไป" ข้อความที่ชายคนนั้นเขียนก็คือ "วันนี้ช่างเป็นวันที่งดงามจริงๆ แต่ผมมองไม่เห็นมัน"

Do U Think The First Sign & The Second Sign Were Saying The Same Thing? Of Course Both Signs Told People The Boy Was Blind. But The First Sign Simply Said The Boy Was Blind. The Second Sign Told People They Were So Lucky That They Were Not Blind. Should We Be Surprised That The Second Sign Was More Effective?

คุณคิดว่าป้ายแรกและป้ายที่สอง พูดเรื่องเดียวกันหรือไม่? แน่นอนว่าทั้งสองป้ายต่างก็บอกผู้คนว่า เด็กชายคนนั้นตาบอด แต่ป้ายแรกแค่บอกอย่างง่ายๆ ว่าเด็กชายนั้นตาบอด หากแต่ป้ายที่สองกลับสื่อกับผู้คนที่ผ่านไปมาว่า พวกเค้าโชคดีที่ไม่ได้ตาบอด 

ดังนั้น เราจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมป้ายที่สองจึงสั่นสะเทือนจิตใจคนได้เหนือกว่า?

Moral Of The Story:
บทเรียนที่ได้จากเรื่องนี้:

Be Thankful For What You Have.
จงขอบคุณในสิ่งที่เรามี

Be Creative. Be Innovative. Think Differently And Positively.

จงหมั่นสร้างสรรค์ จงหมั่นคิดค้นสิ่งใหม่ๆ จงคิดอย่างแตกต่างและเป็นไปในเชิงบวก

...

เรื่องก็จบลงเท่านี้ครับ...แต่ผมอยากขออนุญาตเสริมความเห็นเพิ่มเติมเล็กน้อย...

เมื่อเราบอกคนอื่นว่า เราตาบอด นั่นเป็นการเอาปัญหาของเราไปให้คนอื่น และเรากำลังทำให้เค้าปิดหัวใจ

แต่เมื่อเราบอกคนอื่นว่า คุณโชคดีจังที่ไม่ได้ตาบอด นั่นเป็นการพูดเรื่องของเค้า...

และเมื่อเป็นเรื่องของเค้า...เค้าจึงเปิดหัวใจ...เมื่อใจเปิด สมองจึงเปิด รับรู้และเข้าใจถึงความสวยงามของการมองเห็น...ในขณะเดียวกันนั้น ก็บังเกิดความสงสารและเห็นใจคนที่ไม่อาจมองเห็น

พึงชนะใจผู้อื่นได้ด้วยการเปิดใจครับ ^^

cr: http://www.citehr.com/30615-nice-short-story-worth-reading.html

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...