Skip to main content

Posts

Showing posts from March, 2016

Post#3-206: หมดไฟ

Post#3-206: ใครที่เป็นเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารระดับสูง อาจจะเคยเจอประสบการณ์ "ลูกน้องหมดไฟ" กันมาบ้างนะครับ ต้องบอกว่าเรื่องนี้เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งขององค์กร...เป็น Paradox ที่น่าชวนหัวเรื่องหนึ่ง ด้วยเพราะส่วนใหญ่ Salary Man และ Office Lady ทั้งหลายนั้น ต่างก็ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ขี้เบื่อด้วยเช่นกัน .... ถามว่า เวลาเจออาการลูกน้องหมดไฟที่ว่านี้แล้ว มีวิธีแก้ไขยังไงบ้าง? ผมตอบแบบกำปั้นทุบดินเลยครับ ว่า "ไม่ทราบ" เพราะสาเหตุที่ทำให้พวกเค้า "หมดไฟ" นั้น เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ...และแต่ละสาเหตุล้วนมีที่มาและวิธีแก้ที่ต่างกันไป ผมบอกได้แต่เพียงคร่าวๆ ว่า อาการ "หมดไฟ" นั้น เกิดขึ้นจากเพียง 2 สาเหตุใหญ่ เหตุแรก เกิดจากการ "เบื่องาน" ส่วนเหตุที่สอง เกิดจากการ "เบื่อคน" ... หากเป็นเรื่อง "เบื่องาน"...เราพอจะใช้ Job Rotation หรือ Job Enrichment ช่วยได้, หรือมอบหมายงาน Project เล็กๆ ก็พอจะกระตุ้นได้บ้าง ส่วน "เบื่อคน"...ผมตอบตรงๆ ว่าแก้ยากครับ เพราะไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นมันมาจากตรงไหน ท...

Post#3-205: IPM

Post#3-205: เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา ผมมีนัด Dinner กับเพื่อนรักที่ทำงานร่วมกันมา...เนื่องจากไม่ได้เจอกันนาน จึงมีเรื่องคุยกันมากสักหน่อย ตอนหนึ่งของการสนทนา เราก็ปรับทุกข์กันนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ที่ต่างคนต่างเจอในที่ทำงาน แน่นอนว่า หัวข้อที่ทำให้ปวดหัวกันมากที่สุด ก็หนีไม่พ้นหัวข้อของการบริหารคนนั่นเอง ... อันว่าการบริหารคนนี้...หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องของการบริหารลูกน้องแต่เพียงเท่านั้น แต่แท้ที่จริง การบริหารคน หมายความถึง การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน (ขอเรียกว่า Interpersonal Management - IPM ก็แล้วกันนะครับ) ต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง, เจ้านาย, เพื่อนร่วมงาน, ลูกค้า, คู่ค้า หรือใครก็ตามที่อยู่ในแวดวงการทำงานของเรา...เราล้วนต้องบริหาร ... ความยากของ IPM นั้น, สำหรับผมแล้ว, มันอยู่ที่การสร้างสมดุลย์ระหว่าง 2 แกน แกน X ว่าด้วยปลายข้างหนึ่งคือเรื่องความสนิทส่วนตัว และปลายอีกข้างหนึ่งคือเรื่องความข้องเกี่ยวกับงาน ส่วนแกน Y นั้น ปลายข้างหนึ่งคือเรื่องผลประโยชน์ของเรา และแน่นอนว่าอีกข้างหนึ่งคือผลประโยชน์ของเค้า ... สมดุลย์ของ IPM จึงเป็นการประเมิ...

Post#3-204: องค์กรฯ จ้างเรามาเพื่อ...?

Post#3-204: หลายๆ คนอาจจะมีชีวิตคล้ายๆ กับผม...คืองานยุ่งมาก, มากจนเมื่อหักเวลานอนกับเวลากินออกแล้ว เวลาที่เหลือ ก็แทบจะไม่ได้พักหายใจ นอกจากการบริหารงานให้เป็นไปตามเป้าหมายแล้ว...ผมพบว่า ในแต่ละวัน ผมใช้เวลาไปไม่น้อยเลย ในการแก้ปัญหานั่น นู่น นี่ สารพัด คงอย่างที่เรามักจะพูดติดปากกันว่า "มากคนก็มากเรื่อง"...ซึ่งผมยอมรับโดยดุษฎีว่า มันคือ "ความจริง" ที่สุด เหนื่อยกับการแก้ปัญหาเรื่องงานนั้น ก็ไม่เท่าไหร่...แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องแก้ปัญหาเรื่องคนแล้ว มักจบลงด้วยความปวดหัวไปเสียทุกที ... หลายๆ คน คาดหวังว่า อยากจะได้งานที่ไม่มีปัญหา...ซึ่งแน่นอนว่า งานที่ไม่มีปัญหานั้นไม่มีในโลก หลายๆ คนก็เบื่อเหลือเกินที่จะต้องวุ่นวายกับผู้คนรอบข้าง...ซึ่งยิ่งเบื่อเราก็ยิ่งเจอ บางครั้งผมก็ต้องคอยเตือนตัวเองและน้องๆว่า ก็เพราะการทำงานมันต้องเจอปัญหานี่แหละ...เราทุกคนจึงยังมีงานทำ ถ้าองค์กรฯ ของเราไม่มีปัญหาอะไรเลย...ถามหน่อยเถอะครับว่า แล้วองค์กรฯ จะจ้างเรามาทำไม? ดังนั้น เมื่อองค์กรฯ จ้างเรามาเพื่อแก้ปัญหา...ก็จงต้องคอยเตือนตัวเองว่า อย่าทำตัวเป็นปัญหาเสียเอง .....

Post#3-203: Decentralization

Post#3-203: เมื่อประมาณ 4 ทุ่มนี้เอง ผมมาตรวจความคืบหน้าของร้านที่กำลังจะเปิดในเดือนหน้านี้แล้ว หลักใหญ่ใจความที่ได้รับรายงานจากผู้รับเหมาและ Project Manager ก็คือเรื่องปัญหาและอุปสรรคหน้างาน รวมถึงการแก้ปัญหาที่พวกเค้าได้จัดการไป ก็แทบจะฟันธงได้เลยครับ...ไม่ว่าทีมจะมีประสบการณ์มากมายเพียงใด ก็มีอันจะต้องเจอเรื่องนอกแผนให้เราต้องแก้ไขอยู่นั่นเอง ... ถึงตรงนี้ การกำหนด Scope of Work และ Authority ให้กับทีม...จึงถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ที่เรามักจะพูดๆ กันถึงเรื่องการกระจายอำนาจ (หรือที่เราเรียกกันอย่างคุ้นเคยว่า Decentralization) ก็มักจะเกี่ยวกับ 2 เรื่องที่ว่า หากไม่คุยเรื่องนี้ให้ชัดเจน คนที่จะเหนื่อยก็คือตัวเราเอง...ค่าที่ว่า เราจะต้องมาตอบคำถามต่างๆ มากมาย ซึ่งมีทั้งเรื่องละเอียดและเรื่องหยุมหยิม และบ่อยครั้งที่การรวบทุกอย่างมาไว้กับตัวเราเองนั้น อาจทำให้งานไม่คืบหน้า ... การกำหนด Scope of Work จะทำให้รู้ว่า แต่ละคนแต่ละตำแหน่ง มีขอบเขตความรับผิดชอบอะไรบ้าง - วางแผนได้ชัด ก็จะทำให้เรื่องนี้ชัด ส่วนการกำหนด Authority จะทำให้การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ามีความคล่องตัวม...

Post#3-202: ช่างมัน

Post#3-202: ผมตื่นตั้งแต่ไก่โห่ เพราะตั้งใจจะไปร่วมงานบรรพชาลูกชายเพื่อนรุ่นพี่ท่านหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ พี่ A นะครับ)...ความจริงแล้ว ผมไม่ได้รับเชิญ แต่เพื่อนรุ่นพี่อีกท่าน (สมมติว่าชื่อ พี่ B ครับ) โทรมาชวนตั้งแต่เย็นวาน สอบถามเวลานัด พี่ B บอกว่าไม่ทราบ...ผมก็เลย Line ไปถามพี่ A ซึ่งสงสัยพี่เค้าคงนอนไปแล้ว เลยไม่ตอบ ผมก็คิดว่า "ช่างมันวะ" ตื่นเช้ามาก็คงรู้เวลาเอง...หลังจากนั้น ผมก็มัวแต่โทรเลื่อนนัดเพื่อนๆ ที่จะไปออกรอบเล่นกอล์ฟด้วยกันให้เป็นที่โกลาหล ... ตื่นเช้ามา...ดูจากเวลาแล้วผมคิดว่ามันแปลกๆ ที่พี่ A ยังไม่ตอบ...ผมก็เลยลองเข้าไปเช็คกำหนดการใน Website เพราะงานบรรพชานี้ค่อนข้างเป็นงานใหญ่ แล้วก็เป็นอย่างที่ผมสังหรณ์ ก็คืองานมีช่วงบ่าย...กำลังจะยกหูโทรบอกพี่ B ก็ให้พอดีที่พี่ B โทรเข้ามา ว่าถึงวัดแล้ว เลยรีบโทรมาแจ้งผมว่า งานมีช่วงบ่าย (-_-" ... หลายต่อหลายครั้ง ที่ผมปล่อยให้การ "ช่างมัน" มาทำให้ชีวิตยุ่งเหยิง...เช่นเดียวกับเช้าวันนี้ และผมเชื่อว่า หลายๆ คนก็คงเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เช่นกัน ถ้าเพียงแต่ ผมไม่คิดว่า "ช่างมันวะ", ผมก็ค...

Post#3-201: มโนนี่แหละหนา...ที่พาให้กลัว

Post#3-201: ช่วงเช้าวันนี้ ครอบครัวของผมยกขบวนกันไปไหว้บรรพบุรุษที่สุสาน อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเหมือนดังเช่นทุกๆ ปีที่ผ่านมา พิเศษหน่อย ตรงที่ปีนี้ ผมพาลูกสาวมาด้วยเป็นครั้งแรก... ก่อนมา เธอก็มโนไปว่า มันจะต้องน่ากลัวแน่ๆ เลย คงจะมีแต่หลุมศพ, หลุมศพ และหลุมศพ เต็มไปหมด ขากลับบ้าน...แม่เธอถามว่า มันไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่มโนไว้ใช่มั๊ย? เธอตอบว่า "ใช่", และนอกจากไม่น่ากลัวแล้ว ยังได้ปล่อยนกอีกด้วย ... หลายๆ คนก็คงเป็นเหมือนที่ลูกสาวผมเป็น...คือมักจะมโนไปก่อน โดยที่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่กำลังจะไปเจอ หรือสิ่งที่จะต้องลงมือทำนั้น จะเป็นอย่างไร? เมื่อมโนไปก่อนเสียแล้ว...ก็เป็นเหตุให้ใจปิดกั้น กลัวนั่น นู่น นี่ ไปสารพัด สุดท้ายแล้ว ก็อาจทำให้เราไม่กล้าพบคนใหม่ๆ, ไม่กล้าไปที่ใหม่ๆ, ไม่กล้าลองอะไรใหม่ๆ, ฯลฯ ... เคยไปรับน้องกันบ้างมั๊ยล่ะครับ? หนึ่งในเกมสุดฮิตที่ทำให้รุ่นน้องทั้งหลายขนพองสยองเกล้า ก็คือ เกมล้วงไห...ที่มันน่ากลัวก็เพราะ รุ่นน้องแต่ละคนไม่มีสิทธิ์รู้เลยว่า ต้องล้วงลงไปเจออะไร... กว่าจะแหย่มือลงไปล้วงของข้างในได้ ชักมือเข้าๆ ออกๆ นับสิบๆ หน.....

Post#3-200: เรามี "วันพรุ่งนี้" ไว้เพื่ออะไร?

Post#3-200: เผลอแว่บเดียว เราใช้เวลาของปีนี้ไปแล้ว เกือบ 3 เดือนด้วยกันนะครับ...สำหรับผมแล้ว เวลาช่างเหมือนกับติดปีกบินเอาเสียจริงๆ ได้ประเมินผลงานตัวเองทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานกันบ้างมั๊ยครับ ว่าผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจมากหรือน้อยเพียงใด? ส่วนใหญ่แล้ว...คนเรามักตอบว่า "ผลลัพธ์ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ" แต่มีน้อยคนที่จะสามารถตอบได้ว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ และน้อยกว่าน้อย ที่จะสามารถตอบต่อไปได้ว่า แล้วจะทำยังไงดีนะ จึงจะปรับปรุงให้ผลลัพธ์นั้นดีขึ้นได้? ... ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องงานก็แล้วแต่...หากเราตอบตัวเองอย่างซื่อสัตย์ได้ว่า เราได้ลงมือจัดการเรื่องนั้นๆ หรืองานนั้นๆ อย่างเต็มที่แล้ว ก็คงไม่มีอะไรต้องเจ็บใจ...ครั้งต่อไป ก็จงอย่าถอดใจ จงทำให้เต็มที่เช่นเดิม แต่ถ้าเราได้คำตอบว่า "ไม่"...เรายังทำเรื่องนั้นหรืองานนั้นได้ดีกว่าที่ผ่านมา ก็ต้องถือว่า เรายังมีโอกาสได้แก้ไขและวางแผนปรับปรุง หากว่า ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจที่ว่านั้น ไม่ได้เป็นผลมาจากการเหยาะแหยะหรือปล่อยปละไม่จริงจังกับงานแล้วล่ะก็...ไม่ว่าเราจะเป็นใคร หรื...

Post#3-199: First thing to make dreams come true is to...

Post#3-199: คงปฏิเสธไม่ได้นะครับ ว่าในช่วงชีวิตของคนเรานั้น เราต่างก็มีความฝันต่างๆ มากมาย เราฝันอยากได้นั่น อยากได้นี่, อยากทำนั่น อยากทำนี่...นับกันจริงๆ คงนับกันไม่หวาดไม่ไหว แต่เคยนับกันบ้างมั๊ยครับ ว่าทั้งหมดที่ฝันไว้นั้นน่ะ...มีกี่ความฝันกันครับ ที่กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้? ... ก็อย่างที่ผมเคยแชร์ไว้หลายต่อหลายครั้งแล้วครับ ว่าระยะห่างของความฝันกับความจริงนั้น มันห่างกันแค่ "การลงมือทำ" เท่านั้นเอง แน่นอนว่า ทุกๆ คนนั้น "ฝัน" เป็น หากแต่ไม่ใช่ทุกคนจะ "ทำ" เป็น, และยิ่งไปกว่านั้น มากต่อมาก ไม่คิดจะ "ลงมือทำ" เสียด้วยซ้ำ ที่เป็นแบบนั้น ก็เพราะมันง่ายที่จะฝัน และมันทำให้ตัวเราดูดี เวลาเล่าให้คนนั้นคนนี้ฟังว่า เรามีความฝันอย่างนั้น เรามี passion อย่างนี้...เข้าทำนอง "โม้ไปเรื่อย" นั่นล่ะครับ อย่าลืมนะครับ ว่าแม้แต่คนที่ลงมือทำตามที่ฝันไว้...ยังมีน้อยกว่าน้อย ที่ประสบความสำเร็จได้ดังฝัน...แล้วนี่ถ้าไม่คิดจะลงมือทำอะไรเลย ความฝันมันจะกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ยังไง? ... ใครที่ยังมัวแต่รีๆ รอๆ หรือมัวแต่ "ฝันกลางวัน...

Post#3-198: One for All & All for One

Post#3-198: บ่ายแก่ๆ วันนี้ ผมไปประชุมกับลูกค้า เพื่อจัดทำแผนงานปรับปรุงยอดขายร่วมกัน ค่อนข้างสบายใจที่เจ้าของให้โอกาสในการหารือและเก็บข้อมูลจากทีมทำงานได้โดยตรง ความจริงแล้ว...การจะแก้ปัญหาองค์กรได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริหารต้องเปิดใจยอมรับให้ได้ก่อน ว่าตัวเองก็อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหาได้เช่นกัน ดังนั้น การเปิดโอกาสให้คนนอกได้เข้าไปพูดคุยกับทีมงาน โดยไม่เข้ามาร่วมวง...จึงเป็นเสมือนการเปิดโอกาสให้ทีมงานได้พูดในสิ่งที่ปกติไม่อาจพูดได้ ... นอกเหนือไปจากผู้บริหารที่อาจเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาแล้ว (ทั้งอาจรู้และอาจไม่รู้ตัว)...ส่วนใหญ่ของปัญหาองค์กรก็หนีไม่พ้นเรื่องการประสานงานระหว่างหน่วยงาน ไม่ว่าองค์กรจะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก...รับรองได้ว่า ยังไงก็ต้องเจอปัญหานี้...บ้างก็เกิดจากความขัดแย้งส่วนตัว, บ้างก็เกิดจาก ego, บ้างก็เกิดจากการสร้าง Silo เป็นของตัวเอง และมีไม่น้อยที่เกิดจากการตั้ง KPI ผิดๆ และแน่นอนว่า อีกไม่น้อยของปัญหา มักเกิดจาก Leadership Skill ของผู้บริหารระดับสูง, Span of Control ของผู้บริหารระดับบังคับบัญชา, Competency ของพนักงานระดับปฏิบัติการ หรือแม้กระทั่งกา...

Post#3-197: หิ่งห้อยน้อยท้าแสงแห่งพลุ

Post#3-197: หลายๆ คนคงเห็นด้วยกับผม ที่ว่าการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ที่เราไม่เคยทำมาก่อนนั้น ค่อนข้างจะยากเสมอ ที่เป็นเช่นนี้ ก็คงอาจพอกล่าวได้ว่า ก็เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว คนเราไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง หากแต่ชอบอะไรที่คุ้นเคยหรือคุ้นชิน ...ตลกดีมั๊ยล่ะครับ ที่มนุษย์ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง หากแต่ก็เพราะการเปลี่ยนแปลงนั่นแหละ ที่ทำให้มนุษยชาติก้าวมาถึงวันนี้ได้ ... ดังนั้น บ่อยครั้งที่เราจึงจำเป็นต้องหาแรงผลักดันหรือแรงฉุดดึง...เพื่อให้เราเริ่มต้น หลังจากเริ่มต้นแล้ว...เราจะทำงานนั้นๆ ต่อเนื่องไปจนเสร็จได้หรือไม่ อยู่ที่ตัวเราเป็นสำคัญ หรืออาจพูดได้ว่า เริ่มต้นว่ายากแล้ว ทำให้ตลอดรอดฝั่งยิ่งยากกว่า ... Jim Rohn (นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ, ชาวอเมริกัน) กล่าวไว้ว่า... "Motivation is what gets you started. Habit is what gets you going." แปลได้ว่า "แรงกระตุ้น อาจเป็นสิ่งที่ผลักดันให้คุณเริ่มต้น หากแต่เป็นนิสัยต่างหาก ที่ทำให้คุณก้าวต่อไป" ... หากคุณไม่อาจเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ด้วยตัวเองได้...นั่นหมายความว่า คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการคิดเสียใหม่ เพราะหากคุณไม่เปลี่ย...

Post#3-196: Destiny is a matter of CHOICE

Post#3-196: ใครคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า... "Destiny is not a matter of chance, it is a matter of choice." แปลว่า "ชะตากรรม มิได้เป็นเรื่องของความบังเอิญ, หากแต่มันเป็นเรื่องของการเลือก ต่างหาก" ... หากใครที่ศึกษาพุทธปริยัติในระดับหนึ่ง อาจจะคุ้นๆ ว่าวาทะที่ผมยกมานั้น ทำให้นึกถึงหลักธรรมบางอย่าง... ใช่แล้วครับ...ผมกำลังพูดถึง "ปฏิจสมุปบาท" หรือ "อิทัปปัจจยตา" นั่นเอง (เคยคุยกันไว้นานแล้วครับ ใน Post#248) สรุปย่อๆ ก็คือหลักธรรมนี้ สอนให้เข้าใจถึงเรื่อง "เหตุ-ปัจจัย" สอนให้รู้ว่าการเริ่มต้นของบางสิ่งบางอย่าง จะส่งผลเกี่ยวโยงไปถึงสิ่งอื่นหรืออย่างอื่นอย่างไร ... หากชาติและภพมีอยู่จริง การที่เราเลือกคิด พูด หรือทำสิ่งใด ย่อมส่งผลผูกพันต่อเนื่องอยู่ในเจตสิกของเรา และเป็นสิ่งน้อมนำให้เกิดชะตากรรมในชาติต่อๆ ไป ...จนกว่าเราจะเป็นได้ดั่งพระขีณาสพได้ จึงจะตัดกระแสกรรมได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นแล้ว "ชะตากรรม" จึงเป็นทางเลือกของเราเอง...เราทำอะไรก็จะได้รับผลแห่งกรรมนั้น เราเลือกอะไรก็จะได้ผลจากสิ่งที่เราเลือกนั้น "ชะตากร...

Post#3-195: ทำสิ่งที่ไม่ชอบให้เต็มใจ...จะได้ทำสิ่งที่ชอบได้เต็มที่

Post#3-195: ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ (ซึ่งมีผมเป็นหนึ่งในนั้น) อยากจะมีชีวิตที่สบายๆ และถ้าเป็นไปได้ อยากทำงานน้อยๆ ได้ค่าตอบแทนมากๆ มีวันหยุดเยอะๆ...อย่างที่เรียกว่า Slow Life นั่นเลย ^^ น่าเสียดายที่ความเป็นจริงนั้น มันช่วงสวนทางกับความต้องการเสียเหลือเกิน... เราทำงาน 5-6 วันต่อสัปดาห์ ใช้ชีวิตอยู่บนท้องถนนนานกว่าใช้เวลาทานข้าว 3 มื้อ รวมกัน และหมดเวลาวันหยุดไปกับการทำงานบ้านที่ไม่มีเวลาทำในวันธรรมดา ... หากวันทำงาน เราจัดการทุกอย่างเรียบร้อย...วันหยุดก็จะไม่มีใครมากวนใจ...ใช้ชีวิต Slow Life ได้เต็มที่ ถ้าลองจัดตารางเวลาใหม่ แบ่งงานบ้านออกเป็นส่วนๆ และทำทันทีที่กลับถึงบ้าน (หรือคอนโดฯ)...อย่าหาข้ออ้างนั่น นู่น นี่...ก็จะทำให้งานบ้านที่จะต้องทำในวันหยุดลดน้อยลง เรียกว่า ทำสิ่งที่ไม่ชอบให้เต็มที่ในวันทำงาน เพื่อที่จะได้ทำสิ่งที่ชอบอย่างสบายใจในวันหยุด...ว่าอย่างนั้น ... หลักการเดียวกันนี้...ยังนำมาใช้กับลูกและลูกน้อง ได้ด้วยครับ ...อยากเล่นเปียโน, อยากดู TV, อยากเล่น iPad...ได้เลย แต่หลังทำการบ้านเสร็จเท่านั้นนะ ...อยากลาพักร้อน, อยากลาหยุดยาว, อยากไปดูงานที่ต่างประเท...

Post#3-194: ลบ, ศูนย์, บวก, คูณ, หาร

Post#3-194: เช้านี้ผมมีเหตุให้ต้องมาประชุมกับ Investor รายหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ คุณ X นะครับ) หลังจากใช้เวลาหารือความเป็นไปได้ทางธุรกิจอยู่พักใหญ่ๆ...ก็มาถึงช่วงของการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทั่วๆ ไป ตอนหนึ่งของการสนทนา...คุณ X แสดงทัศนะไว้น่าสนใจมาก และน่าจะนำมาใช้เป็นข้อเตือนใจสำหรับเจ้าของกิจการและผู้บริหารท่านอื่นๆ ได้ คุณ X บอกว่า "ความจริงใจนั้น สำคัญมากในการทำธุรกิจร่วมกัน...ถ้าคิดแต่จะปิดบังหรือมีวาระซ่อนเร้น มีอะไรไม่พูดกันตรงๆ แล้ว เห็นทีว่าคงทำงานด้วยกันได้ยาก" ... นี่อาจเป็นความจริงข้อหนึ่งที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้... คนที่อยากจะขายของหรือมองหานักลงทุน มักจะบอกเล่าแต่ด้านดีของตัวเอง โดยจงใจที่จะปิดบังหรือบิดเบือนข้อเสียหรือข้อบกพร่องไว้เสีย เรียกว่า หากครั้งแรกที่เจอกัน ก็นำหน้าด้วยความไม่จริงใจด้วยแล้ว ไหนเลยจะทำให้ผู้ซื้อหรือนักลงทุน ยอมเห็นดีเห็นงามปลงใจกับเราได้ ... คุณ X เน้นว่า การจะเป็นหุ้นส่วนกัน จึงต้องเปิดเผยและพูดความจริงต่อกัน อะไรที่ติดอยู่ในใจหรือมีปัญหา ก็ต้องเอาออกมาวาง "บนโต๊ะ" เพื่อที่จะได้เข้าใจกันและช่วยกันแก้ปัญหา หาก...

Post#3-193: โชคไม่ดี?

Post#3-193: ไม่ใช่ว่าผมจะเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องโชคเอาเสียเลยนะครับ แต่ถ้าถามว่า เชื่อหรือไม่เชื่อมากกว่ากัน...ผมก็จะตอบว่า "ไม่เชื่อ" ไม่รู้สิครับ...ผมว่ามันก็ไม่ค่อยจะยุติธรรมเท่าไหร่ ที่เราจะโยนให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของโชคชะตาเพียงอย่างเดียว ... ผมรู้สึกว่า การที่เรามัวแต่โทษโชคชะตา มันทำให้ชีวิตเราไม่ไปข้างหน้า...มันเหมือนกับเป็นการตอกย้ำความพ่ายแพ้ของตัวเราเอง สังเกตดูก็ได้ครับ...เวลาเราคิดว่า เรื่องมันเป็นแบบนี้เพราะเราโชคไม่ดีปุ๊บ เราจะหยุดคิดอย่างอื่นทันที แล้วก็มัวแต่นั่งสมเพชหรือไม่ก็ปลอบใจตัวเอง ดังนั้น ผมจึงคิดว่า ส่วนหนึ่งของความผิดพลาดหรือความสำเร็จ จึงน่าจะเป็นผลมาจากปัจจัยภายในมากกว่าปัจจัยภายนอก ... ลองพิจารณาวาทะนี้ดูครับ "Luck is a matter of Preparation meeting Opportunity." แปลว่า "โชคดี เป็นเรื่องของการเตรียมตัวให้พร้อม และเจอกับโอกาสที่เข้ามาพอดี" (เข้าใจว่า Oprah Winfrey เป็นผู้กล่าวไว้ - หากผิด ขออภัยครับ) ขยายความอีกทีว่า ถ้ามีโอกาสเข้ามา แต่เราไม่เคยเตรียมตัวให้พร้อมเลย..."โชคดี" ก็ไม่อาจเป็น...

Post#3-192: Collaboration

Post#3-192: เมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปประชุมกับผู้บริหารบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ คุณ A นะครับ) หลักใหญ่ใจความที่หารือกัน คือประเด็นของ Collaboration หรือแปลเป็นไทยแบบง่ายๆ ว่า "ความร่วมมือ" และประโยคทองที่ผมชอบมาก ก็คือประโยคที่คุณ A บอกว่า "ทำไมต้องแข่งกันด้วยล่ะ ขนาดธุรกิจที่ใหญ่แบบนี้ แบ่งกันทำก็ได้นี่" ... ผมได้ยินประโยคทำนองนี้ครั้งแรก เมื่อครั้งทำงานอยู่กับ Retail Chain Store ยักษ์ใหญ่ ของประเทศไทย ผู้บริหารระดับสูงท่านหนึ่งได้สอนทีมงานทุกคน (ผ่านการเล่น "โกะ" หรือ "หมากล้อม") ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกันในสังคม...หลักที่ว่าด้วย "เราอยู่ได้...เค้าอยู่ได้" แปลว่า มันไม่ใช่ความจำเป็นทีจะต้องจ้องทำลายล้างคู่แข่ง...แต่แค่หาวิธีการให้เจอว่า ทำอย่างไรที่จะทำให้เราอยู่ได้อย่างมั่นคงกว่าเค้า ก็เพียงพอแล้ว ... คล้ายๆ กันกับที่ฝรั่งว่าไว้ครับ... "Competition makes us faster; Collaboration makes us better." แปลได้ว่า "การแข่งขัน กระตุ้นให้เราทำงานอย่างรวดเร็วขึ้น; แต่ความร่วม...

Post#3-191: คนขลาดตายหลายหน...คนกล้าตายหนเดียว

Post#3-191: ผมเชื่อว่า หลายต่อหลายครั้งที่ใครหลายๆ คน คงมีอาการที่เรียกว่า "กล้าๆ กลัวๆ" เป็นอารมณ์ประมาณ จะทำดีหรือไม่ทำดี, จะพูดดีมั๊ยหรือไม่พูดดีกว่า, จะไปหรือไม่ไปดีนะ, ฯลฯ จริงๆ แล้ว ผมว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติมากๆ ที่เรามักจะมีอาการลังเลแบบนี้มาเยี่ยมเยียน ...แต่ไม่แน่ใจว่า ได้ลองสังเกตตัวเองดูบ้างมั๊ยครับ ว่าอาการแห่งการลังเลนั่นน่ะ มาจากเหตุใดกันแน่? ... ไม่แน่ว่า ความกล้าๆ กลัวๆ นั้น อาจเกิดจาก - มีข้อมูลไม่พอที่จะตัดสินใจ? - ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์แบบไหน? - ไม่มั่นใจว่า เราจะทำใจยอมรับคำตอบได้มั๊ย? - ฯลฯ เหตุแต่ละเหตุ ล้วนแต่จะต้องแก้ไขด้วยวิธีที่ต่างกัน...และตราบเท่าที่ไม่รู้เหตุ ย่อมกำหนดวิธีการแก้ไขได้ยาก บางครั้ง แม้จะรู้ต้นตอของปัญหา แต่ก็อาจจะแก้ปัญหาที่ต้นตอไม่ได้แบบเด็ดขาด หรืออาจทำได้เพียงลดทอนปัญหาลงได้บ้าง ...ก็เหมือนกับที่กลางคืนนอนไม่หลับเพราะกลัวผี แม้จะทำใจให้หลายกลัวผีไม่ได้...อย่างน้อย เปิดไฟนอน ก็หลับได้ เป็นต้น ... แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม เราก็ไม่ควรปล่อยความรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ แบบนี้ให้อยู่กับเรานานและบ่อยจนเกินควร...เพราะ...

Post#3-190: Falling down...

Post#3-190: ถือเป็นคำถามโลกแตกคำถามหนึ่งเลยก็ว่าได้ครับ...เราควรเลิกล้มเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อไหร่ดี? บางครั้งเราเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่า เลือกที่จะเลิกตอนนี้ ยอมเจ็บแค่นี้ หรือว่าจะเลือกไปต่อ ลงทุนอีกหน่อย เหนื่อยอีกหน่อย...อย่างไหนจะดีกว่า? สารภาพว่า ผมเองก็ไม่ทราบหรอกครับ เพราะต่างคนก็ต่างปัจจัย ต่างคนต่างก็มีขีดจำกัดแห่งความอดทนที่ต่างกัน ... มีใครคนหนึ่งให้กำลังใจไว้ดังนี้ครับ... "If Plan "A" didn't work. The Alphabet has 25 more letters. Stay cool." "ถ้าแผน A มันไม่เวิร์ค ก็ช่างปะไร ยังมีเหลืออีกตั้ง 25 ตัว นี่นา เยือกเย็นเข้าไว้" อ่านแล้วผมก็แอบขำ เพราะไม่เราดื้อเข้ากระดูก ก็อาจจะแปลความได้ว่า เรามีความมุ่งมั่นในเป้าหมายจนเกินเชื่อนั่นเอง ... ถ้ายังคงคิดไม่ตก ว่าจะยอมแพ้ดี หรือสู้ต่อดี...ลองดูวาทะนี้ครับ "Failure doesn't come from falling down. Failure comes from not getting up." ซึ่งแปลว่า "ความล้มเหลวมิได้มาจากการล้มลง หากแต่ความล้มเหลวมาจากการมิยอมลุกขึ้น" ...จะนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้น หรือลุกขึ้นด...

Post#3-189: Something you don't know

Post#3-189: ด้วยความที่ตารางนัดผมเต็มเอี้ยดจนหาคิวว่างแทบไม่ได้...ค่ำวานนี้ผมจึงมีอันต้องไป Business Dinner กับเพื่อนชาวต่างชาติที่ตั้งใจบินมาประชุมกับผมเป็นการเฉพาะ ปกติแล้ว...ผมจะหวงแหนวันหยุดมาก โดยเฉพาะวันอาทิตย์ด้วยแล้ว น้อยครั้งมากที่ผมจะรับนัด...เพราะอยากอยู่กับครอบครัวมากกว่า แต่บางครั้ง ชีวิตก็เลือกไม่ได้...ยิ่งถ้ามีใครก็ตามที่ถึงกับยอมทิ้งวันครอบครัว บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อประชุมกับเราเป็นการเฉพาะแบบนี้ ... แล้วบางครั้งการยอมเสียสละเวลาส่วนตัวที่มีค่า ก็นำมาซึ่งอะไรบางอย่างที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เช่นที่เพื่อนชาวต่างชาติที่ผมมาทานข้าวด้วยนี้...ก็ทำให้ผมมองเห็นโอกาสใหม่ๆ อันอาจจะต่อยอดให้ธุรกิจที่ทำอยู่ไปได้อีกมาก และแน่นอนว่า หากธุรกิจที่ผมทำอยู่เติบโตขึ้น...นั่นหมายความว่า ผมก็กำลังจะมีโอกาสทำให้น้องๆ ในบริษัทฯ มีชีวิตที่ดีขึ้น รวมไปถึงโอกาสที่ตัวผมเอง จะได้ทำงานแบบเหนื่อยน้อยลง และคงจะทำให้มีเวลาให้ครอบครัวได้มากขึ้นด้วย ... คงเหมือนกับที่ Bill Nye (ชาวอเมริกันผู้ซึ่งเป็นพิธีกร TV รายการวิทยาศาสตร์สำหรับเด็ก ของ Disney) ว่าไว้ว่า... "Everyone you wil...

Post#3-188: สุดขอบจักรวาล

Post#3-188: ในช่วงกว่าศตวรรษที่ผ่านมานั้น เหล่านักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ ต่างก็พยายามที่จะตามหาสุดขอบของจักรวาล จนถึงวันนี้ เราก็ยังไม่รู้ชัดว่า สุดขอบจักรวาลมีจริงหรือไม่...มีเพียงแต่ทฤษฎีต่างๆ มาอธิบายเท่านั้น แต่เมื่อมีการผลิตอุปกรณ์ส่องจักรวาลที่ดีขึ้น ก็ทำให้เราได้ค้นพบหลักฐานใหม่ๆ เกี่ยวกับสุดขอบจักรวาลมากขึ้นเรื่อยๆ ... ก่อนหน้าที่มนุษยชาติจะรู้ว่าโลกกลม เราต่างก็เชื่อว่าขอบเขตที่มนุษย์จะไปถึงได้ก็คือขอบโลก ต่อเมื่อมนุษย์รู้ว่าโลกกลมและไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ขอบเขตของมนุษย์จึงกว้างขึ้นและไกลขึ้น ...และดูเหมือนขอบเขตแห่งจักรวาลจะกว้างไกลขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราหมั่นศึกษา ค้นคว้า และเพิ่มเติมศักยภาพแห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับผมแล้ว...คำถามเรื่องสุดขอบจักรวาลนี้ ก็สามารถนำมาเปรียบเทียบกับคำถามว่าด้วยเรื่องสุดขีดความสามารถของตัวเราได้เช่นกัน ... ในเมื่อขอบเขตของจักรวาลขึ้นอยู่กับข้อมูลและความเชื่อของคนเรา...ดังนั้น ขอบเขตของความเป็นไปได้และขอบเขตของความสามารถในตัวเรา...ก็ไม่น่าจะต่างกัน ถ้ามนุษย์มัวแต่เชื่อว่าโลกแบน ขอบเขตของมนุษย์ก็คงหยุดอยู่แค่ข...

Post#3-187: Aim too high?

Post#3-187: เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงจะรู้จัก มิเกลันเจโล ศิลปินชาวอิตาเลียน เป็นอย่างดี จากผลงาน รูปปั้นเดวิด และภาพเขียน The Last Judgement ไม่ว่าใครได้เห็นรูปปั้นและภาพที่ว่า...คงอดนึกไม่ได้ว่า มิเกฯ สร้างสรรค์ขึ้นมาได้ยังไง? การสร้างสรรค์ผลงานสุดยอดแบบนี้ มึแค่ฝีมืออย่างเดียวไม่ได้ หากแต่ต้องประกอบไปด้วยความมุ่งมั่น กับพลังใจที่สุดยอดไม่แพ้กันอีกด้วย ... ผมไม่แน่ใจว่า วาทะที่จะพูดถึงต่อไปนี้ เป็นคำตอบของมิเกฯ ยามที่มีผู้คนถามถึงความพยายามในการสร้างสรรค์ผลงานของเค้ารึเปล่า? แต่หลังผมอ่านวาทะนี้จบ...ผมก็ได้แต่บอกว่า ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมมิเกฯ ถึงสร้างงานระดับสุดยอดของโลกแบบนี้ขึ้นมาได้ ...เพราะวาทะนี้บ่งชี้ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของมิเกฯ ได้ชัดเจน จนไม่จำเป็นต้องอธิบายใดๆ เพิ่มอีก ... มิเกฯ ว่าไว้แบบนี้ครับ... "The greatest danger for most of us is not that our aim is too high and we miss it but that it is too low and we reach it." แปลว่า "อันตรายที่ใหญ่หลวงที่สุดของผองเรานั้น ใช่จะอยู่ที่เราตั้งความหวังไว้สูงจนเราไปไม่ถึง หากแต่มันอยู่ที่ เราตั้งมันไว้ต่...

Post#3-186: CRM ห้องแถว

Post#3-186: เที่ยงนี้ผมมีโอกาสไปประชุมกับอดีตเจ้านาย เลยถือโอกาสแวะทานกลางวันที่ร้านเจ้าประจำ ซึ่งเป็นร้านห้องแถวขายก๋วยเตี๋ยวและอาหารตามสั่งทั่วๆ ไป ที่ว่าเป็นร้านเจ้าประจำก็เพราะไปทานบ่อยเสียจนสนิทกับลูกสาวและลูกสะใภ้ของเจ้าของร้าน ซึ่งทุกคนในละแวกนั้นเรียกว่า "อาม่า" ที่ดีเลิศกว่า "รสมือ" ก็เห็นจะเป็นรอยยิ้มและอัธยาศัยของอาม่า รวมไปถึงของลูกสาวและลูกสะใภ้ของอาม่าด้วย นั่นเองทำให้ร้านห้องแถวนี้ เป็นร้านที่ไม่ธรรมดาสำหรับผม...โดยเฉพาะลูกสาวอาม่า ที่กลายมาเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่ชอบพอนิสัยกัน ... ทุกครั้งที่ไปทาน ผมจะเห็น J (ชื่อสมมติ) ง่วนอยู่กับการปรุงก๋วยเตี๋ยว, เก็บโต๊ะ, เก็บเงิน, เสิร์ฟน้ำ และอีกสารพัด...เรียกว่า ยุ่งจนแทบไม่มีเวลาหายใจเลยก็ว่าได้ แต่ผมก็ไม่เคยเห็น J ทำหน้าบึ้ง...มีแต่เห็นรอยยิ้มเปื้อนหน้าอยู่เสมอ แน่นอนว่า นอกจากรสมือแล้ว นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ไม่ใช่แค่ผมที่ชื่นชมน้อง หากแต่ลูกค้าทุกๆ คนก็ชื่นชอบอัธยาศัยของ J เช่นกัน ช่วงเทศกาลต่างๆ ทั้ง J และลูกสะใภ้อาม่า (ที่รับผิดชอบอาหารตามสั่งที่อร่อยสุดยอด) ก็จะมีของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ไว้แจ...

Post#3-185: ผู้บริหาร

Post#3-185: เมื่อเช้ามีเหตุให้ผู้ช่วยฯ ของผมต้องเป็นสารถีขับรถให้ เนื่องจากรถผมเสียพอดี ด้วยความที่ไม่เคยนั่งรถที่เธอขับมาก่อน ผมเลยอึดอัดและเกร็งเป็นพิเศษ...เพราะสไตล์ในการบังคับรถและจังหวะเบรคของเธอต่างจากผมเยอะ แทนที่ผมจะได้นั่งรถเป็นคุณชายที่มีสาวน้อยขับรถให้นั่ง ก็เลยกลายเป็นต้องนั่งไปช่วยเหยียบเบรคไปด้วยเกือบตลอดทาง ... ความจริงถ้าผมไม่เอาใจไปคอยกังวลก็คงไม่ต้องเครียด เพราะเธอก็ขับรถได้ นี่เองเป็นข้อคิดเตือนใจว่า เมื่อใดที่นายๆ ทั้งหลาย delegate งานไปแล้ว ก็จงปล่อยให้ลูกน้องว่าไปเถอะ...แล้วก็นั่งกำกับดูแลอยู่ห่างๆ ก็พอ ถ้าเห็นว่าท่าจะไม่ดี ก็ค่อยบอกค่อยเตือน...เพราะถ้าห่วงมากไป กลายเป็นลูกน้องจะเกร็งจนทำอะไรไม่ถูกเสียเปล่าๆ ครับ ... David Allen (นักเขียนชาวอเมริกัน) ก็เตือนให้เราเข้าใจถึงความสำคัญในการรู้จักแบ่งถ่ายงานไว้เช่นกันครับ โดย David ว่าไว้ดังนี้ "You can do anything, but not everything." แปลว่า "เราสามารถทำอะไรก็ได้ทุกสิ่ง, แต่ไม่ใช่ทำทุกๆ สิ่งไปเสียทั้งหมด" ...ใครคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า คำว่า "บริหาร" มาจาก "บริ...

Post#3-184: ยึดมั่นในเป้าหมาย / ยึดติดวิธีการ

Post#3-184: หลายต่อหลายครั้งที่ผลลัพธ์ที่ผู้บริหารต้องการ มักไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดหวัง... มากต่อมากครั้ง ที่สาเหตุแห่งความพลาดหวังนั้น มาจากความผิดพลาดคลาดเคลื่อนในการแปลงนโยบายให้เป็นแผนปฏิบัติการ และอีกมากหน ที่ความล้มเหลวเกิดมาจากการยึดติดจนขาดความยืดหยุ่นและพลิกผันให้เข้ากับสภาพการณ์ที่เจอ...ทั้งจากตัวผู้บริหารเอง และจากทั้งผู้ปฏิบัติงาน ... หนึ่งในเรื่องที่ผู้ปฏิบัติบ่นกันมากเหลือเกิน ก็คือการที่ผู้กำหนดเป้าหมาย "ชอบ" เปลี่ยนแผนอยู่บ่อยๆ ตรงนี้ ผมต้องขอแก้ต่างให้นายๆ ทั้งหลายสักเล็กน้อย ว่าจริงๆ แล้ว ไม่มีใคร "ชอบ" เปลี่ยนแผนหรอกครับ แต่ที่ "มักจะ" ต้องเปลี่ยนนั้น เพราะสภาพการณ์ต่างๆ โดยรอบมันไม่ได้อยู่นิ่งๆ นั่นเอง ผู้บริหารหรือผู้กำหนดเป้าหมาย จึงจำเป็นต้องพลิกผันตามสภาพการณ์ได้รวดเร็ว หาไม่แล้วก็อาจนำลูกน้องไปสู่ทางตัน ในขณะเดียวกัน ลูกน้องหรือผู้ปฏิบัติ ก็จำเป็นจะต้องปรับกระบวนทัพให้สอดรับกับการพลิกผันให้ได้อย่างทันท่วงที ...คงเห็นตัวอย่างกันมามากต่อมากแล้วนะครับ ที่องค์กรใหญ่ๆ หลายแห่ง มีอันต้องล่มสลายลงไป ด้วยเหตุเพราะปรับตัวต...

Post#3-183: พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต

Post#3-183: เมื่อวานมีอดีตเพื่อนร่วมงานท่านหนึ่งถามเรื่อง lay-off ที่ผมทิ้งปิดท้ายไว้ใน Post ว่ากันตามสภาพเศรษฐกิจในตอนนี้แล้ว การถูก lay-off อาจไม่ใช่เรื่องไกลตัวแต่อย่างใด ตรงกันข้าม...มันอาจจะมาหาเราโดยไม่เปิดโอกาสให้เราตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ ... เนื่องจากผมไม่ใช่ Guru ด้าน HR และกฎหมายแรงงาน ผมคงไม่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิและค่าชดเชยเกี่ยวกับเรื่อง lay-off นี้ แต่อยากจะชี้ให้เห็นว่า ในฐานะนายจ้างคนหนึ่งแล้ว ผมมีวิธีการ short-list ยังไง หากความจำเป็นขีดสุดมาถึง เปรียบเทียบให้เข้าใจชัดๆ แล้ว การ lay-off ก็เหมือนการสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต อย่างที่ผมจั่วหัวไว้ ... ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะใดในร่างกาย...หากเราจำเป็นต้องตัดมันทิ้งไป ย่อมส่งผลให้เราเจ็บทั้งกายและเจ็บทั้งใจ ทั้งสิ้น แต่เมื่อต้องเลือกระหว่างตัดอวัยวะส่วนนั้นทิ้ง กับการรักษาให้มีชีวิตรอดต่อไป...เห็นทีว่า นายจ้างหรือเจ้าของกิจการทั้งหลาย คงเลือกรักษาชีวิตให้รอดก่อนเป็นแน่ ตัดแขนทิ้งก็ยังดีกว่าตาย...ปลดคนออกก็ยังดีกว่าปิดบริษัทฯ...ประมาณนั้น ... แต่ก่อนที่จะเลือก lay-off นั้น แน่ใจแล้วใช่มั๊ย ว่าอะไรที่ควรทำ เ...

Post#3-182: The value you bring to an hour

Post#3-182: หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่น้องๆ มักจะสงสัยอยู่บ่อยๆ และมักจะตั้งไว้เป็นจุดสังเกตนายของตัวเองก็คือ ทำไมนายมาสายหรือกลับเร็วได้ แต่ทำไมพวกผม (พวกหนู) ต้องทำงานครบตามเวลา? ตรงนี้ก็ต้องบอกน้องๆ ว่า มันก็เป็นข้อเท็จจริงและข้อปฏิบัติโดยทั่วไป ที่เมื่อใดที่คุณก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับที่สูงขึ้น...ผู้บริหารองค์กรฯ ก็มักจะไม่ได้สนใจกับเวลาเข้าและออกงานของคุณมากเท่ากับพนักงานระดับปฏิบัติการ ทั้งนี้และทั้งนั้น ตามความเห็นของผม คงเป็นเพราะ 2 สาเหตุหลักๆ หนึ่ง...เพราะองค์กรฯ เชื่อว่า ผู้บริหารมีความรับผิดชอบมากเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องควบคุมด้วยเวลาทำงานแบบเป๊ะๆ และควรจะมีจิตสำนึกมากพอ ที่จะรู้ว่าอะไรควรและไม่ควร อีกทั้ง "การบริหารเวลา" ก็เป็นหนึ่งในความสามารถที่ผู้บริหารทั่วไป ต้องมีอยู่แล้ว สอง...เพราะองค์กรฯ ประเมินผลงานของผู้บริหารในแบบองค์รวม เรียกว่า ถ้าบรรลุ KPI ก็ไม่มีประเด็นที่จะต้องไปจู้จี้จุกจิก การที่ผู้บริหารใช้เวลานอก office มากกว่าอยู่ใน office แล้วบรรลุผลงาน ย่อมดีกว่าที่พวกเค้าอยู่แต่เหย้าเฝ้าแต่ office แต่ไม่มีผลลัพธ์ที่ดี ... แต่ไม่ว่าเราจะเป็นผู้...

Post#3-181: Animation สอนใจอีกครา

Post#3-181: ผมพึ่งไปดู Zootopia กับลูกสาวและภรรยามาครับ... หลังๆ นี้ ถ้าจะเข้าโรงหนัง ต้องคุณลูกเป็นผู้เลือกเท่านั้น...แต่ว่ากันตามจริง ถ้าไม่ไปดูหนังกับครอบครัว ผมก็แทบจะไม่ได้ไปกับคนอื่นอยู่ดี แน่นอนว่า ไปดูหนังกับลูก...ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็น Animation ... จริงๆ แล้ว ผมชอบดู Animation มาก ดังนั้น ผมจึงควรต้องขอบคุณลูกสาวเสียด้วยซ้ำ เพราะถ้าไม่มีเธอ ผมคงหาเหตุผลจะไปดู Animation ได้ยากเต็มที...ถ้าต้องจูงมือภรรยาไปดูกันแค่ 2 คน คงจะเขินน่าดู ^^ เท่าที่ไปดู Animation กับลูกมาแล้วหลายเรื่อง (หรือใครจะว่า ผมใช้ลูกเป็นข้ออ้างในการไปดู Animation ก็คงจะเถียงไม่ออกล่ะนะครับ ^^) ผมมีความเห็นว่า Animation ไม่ใช่หนังสำหรับเด็กแต่เพียงเท่านั้นอีกต่อไป... เพราะ Animation น่าจะเหมาะกับ Family คือ พ่อ-แม่-ลูก เสียล่ะมากกว่า เพราะนอกจากความสนุกแล้ว...ก็มีประเด็นสอนใจมากมายแฝงอยู่ในเนื้อเรื่อง ซึ่งสามารถนำมาพูดคุยต่อยอดกันในครอบครัวได้ดี เรียกว่า "เนียน" สอนลูกด้วย Animation ก็คงจะได้ครับ..."สื่อ" ในรูปแบบนี้ ทำให้เด็กๆ รับ "สาร" ได้ดีเหลือเกิน ... เนื้อเร...

Post#3-180: Let Me In

Post#3-180: ช่วงนี้ผมชอบดูรายการ Let Me In Thailand ทางช่อง Workpoint เป็นอย่างมาก...ฉายวันไหน เวลาอะไร ผมจำไม่ได้หรอกครับ เพราะอาศัยดูย้อนหลังทาง Youtube เป็นหลัก สำหรับผมแล้ว...รายการนี้ ทำให้คำว่า "โอกาส" กลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้อย่างชัดเจนเหลือเกิน ตราบเท่าที่ปุถุชนยังคงมีกิเลสและตัณหาเป็นสิ่งร้อยรัด...ตราบนั้น รูปร่างหน้าตาก็เป็นสิ่งที่เรามิอาจละเลยได้ หากยังต้องการอยู่ในสังคม ... ผู้สมัครทุกคนล้วนแต่ต้องแบกความทุกข์จากหน้าตาและรูปร่างที่ไม่เหมือนคนทั่วไป ทำให้ใช้ชีวิตปกติได้ยาก บางคนแค่เคี้ยวข้าวยังถือเป็นเรื่องยากด้วยซ้ำไป นอกจากจะลำบากจากสภาพหน้าตาและร่างกายแล้ว พวกเค้ายังต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างยากลำบากอีกด้วย...ไหนจะถูกล้อเลียน, ไหนจะถูกรังเกียจ และไหนจะถูกซุบซิบนินทา สภาพที่ต้องทนทุกข์ทั้งกายและใจแบบนี้...เป็นอะไรที่ทำให้ชีวิตเหมือนถูกโซ่ตรวนแห่งความเจ็บช้ำล่ามเอาไว้ หากพวกเค้าคิดได้ ปลงตก...พวกเค้าก็จะมีชีวิตอยู่อย่างเงียบๆ และเลือกที่จะโดดเดี่ยวตัวเองออกจากสังคม แต่หากพวกเค้าคิดไม่ตก...ย่อมจะส่งผลให้พวกเค้าเคียดแค้นทั้งตัวเอง, ครอบครัว แล...

Post#3-179: หยุด...เพื่อไปต่อ

Post#3-179: ผมเชื่อว่า เราต่างก็เจอเหตุการณ์ที่ทำให้กระอักกระอ่วนหรือกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกกับการต้องทำงานร่วมกับเพื่อนสนิทกันมาบ้างนะครับ แน่นอนว่า ผมเองก็เจอ...แล้วยิ่งถ้าเป็นธุรกิจครอบครัว หรือกงสี ย่อมเจอปัญหาแบบนี้ไม่เว้นแต่ละวัน เวลาเจอเหตุที่แนวทางในการทำงานไม่ตรงกัน...เรารับมือกับมันยังไงครับ? ผมให้เวลานึกตามดูครับ ^^ ... สำหรับผม เวลาทำงานกับเพื่อนหรือคนที่สนิทมากๆ แล้วเจอประเด็นที่ทำให้งานไปต่อไม่ได้ ผมไม่เคยลังเลเลยครับ ที่จะขอคุยกัน เพราะถ้าไม่สุดๆ จริงๆ แล้วล่ะก็ ผมก็เลือกวิธีถนอมน้ำใจเพื่อนไว้ก่อนเหมือนกันครับ...ก็คนรักๆ ชอบๆ กันขนาดนี้ ถ้ารักษาน้ำใจกันได้ ก็คงดีกว่าแน่ๆ ล่ะครับ แต่ถ้ามัวแต่รักษาน้ำใจกัน เกรงใจกัน จนทำให้งานไม่ไปข้างหน้า...ผมก็ว่า มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องแน่ๆ สุดท้ายแล้ว ก็มีแต่ต้องเปิดใจถกกันเท่านั้น ...และถ้าเปิดใจคุยกันแล้ว ก็ยังหาจุดลงตัวหรือตกลงกันไม่ได้...ผมก็ไม่เคยลังเลที่จะเลือกวิธี "หยุด...เพื่อไปต่อ" ครับ ... ลงถ้าผมจะเลือกทำงานหรือร่วมหุ้นกับใครก็ตาม นั่นแปลว่า ผมต้องชอบนิสัยใจคอหรือพอใจฝีมือเค้าคนนั้นมากอยู่ ...

Post#3-178: ไล่ล่าอนาคต

Post#3-178: เมื่อหัวค่ำนี้ผมได้มีโอกาสประชุมกับ Digital Marketing Agency รายหนึ่ง...ซึ่งต้องถือว่าเป็นหนึ่งในการประชุมที่ผมเรียกว่า "wow meeting" ได้เลยทีเดียว หนึ่งในผู้ก่อตั้งมาเอง เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่อายุห่างจากผมรอบนึงพอดี...และก็ต้องยอมรับว่า แนวความคิดของเด็กหนุ่มที่อายุไม่เกิน 30 ปีคนนี้...ไม่ธรรมดา แม้ว่าผมจะชอบคุยกับผู้อาวุโสเพื่อ "เรียนลัด" แต่ผมก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า บางครั้งการคุยกับเด็กรุ่นใหม่ ก็ทำให้ผมได้ update ความเป็นไปของโลกได้ไม่น้อย ... ผมชอบเทคโนโลยีและคลั่งไคล้ใน Gadget ใหม่ๆ มากๆ แต่ก็ต้องสารภาพว่า ผมไม่ได้เป็นคนเก่งเรื่องเทคโนโลยี เท่าๆ กับที่ไม่ได้รู้เรื่อง Gadget ไปเสียทุกอย่าง...ได้แต่อาศัยว่าอ่านมากหน่อย ก็เลยพอจะตาม Digital Trend ได้บ้าง แต่หลังจากประชุมวันนี้...แม้จะเป็นการประชุมสั้นๆ แต่กลับทำให้มิติของ Digital Marketing ของผม ได้เปิดกว้างขึ้นกว่าเดิมอีกอักโข...โดยเฉพาะ การที่ได้เห็นว่า Gadget ต่างๆ ผลิตชิ้นงานอะไรออกมาได้มากกว่าที่คิด ... อย่างที่บอกล่ะครับ... หากว่าการคุยกับผู้ใหญ่จะทำให้รู้ที่มาที่ไปของเรื่องต่างๆ ถือ...

Post#3-177: ให้โอกาสแก้ไข

Post#3-177: ด้วยเหตุเพราะ "ความผิดพลาด" เป็นสิ่งที่คู่กับการทำงาน...สำหรับผมแล้ว มันจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล หากเราจะให้ "โอกาสที่สอง" แก่ผู้ที่ทำผิดพลาด สำคัญที่ว่า ผู้ที่ได้รับโอกาสนั้น ได้เรียนรู้หรือไม่ว่า ตัวเองทำอะไรพลาดไปกันแน่? ถ้ายังตอบตัวเองไม่ได้ว่า พลาดตรงไหน, พลาดอย่างไร และทำไมถึงพลาด...ผมบอกได้เลยครับ ว่า เดี๋ยวก็พลาดแบบเดิมอีก ... ลองมาวิเคราะห์วาทะนี้ด้วยกันครับ... "A second chance doesn't mean anything if you haven't learned from your first mistake." แปลว่า "โอกาสครั้งที่สองจะมีประโยชน์อันใดเล่า หากว่าเจ้ามิได้เรียนรู้จากความผิดในครั้งแรก" ... ก่อนที่เราจะขอโอกาสที่สอง...เรารู้แน่ชัดแล้วใช่หรือไม่ ว่าเราจะต้องแก้ไขตรงจุดไหน และอย่างไร? ก่อนที่เราจะให้โอกาสที่สองแก่ใคร...เรามั่นใจแล้วใช่หรือไม่ ว่าคนๆ นั้น สมควรที่จะได้รับโอกาสนั้น? ขอโอกาสใหม่ เพราะรู้สำนึกผิด ไม่ได้แปลว่า จะทำให้โอกาสที่สองสำเร็จได้...อยากแก้ไข กับรู้วิธีแก้ไข...มันต่างกันเยอะครับ

Post#3-176: The race you'll never win...

Post#3-176: เคยมีใครคนหนึ่งกล่าวไว้... ปัญหาในโลกนี้ แบ่งเป็น 2 แบบ คือปัญหาที่แก้ได้ กับปัญหาที่แก้ไม่ได้ ปัญหาที่แก้ไม่ได้...หากว่าเราไม่โกหกตัวเองนะครับ เราก็ไม่ต้องกลุ้มใจไป เพราะยังไงมันก็พ้นกำลังที่เราจะแก้ ส่วนปัญหาที่แก้ได้...เราก็ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะว่ามันเป็นปัญหาที่แก้ได้นั่นเอง...แม้ว่าเราอาจจะพบว่า ขั้นตอนในการแก้ปัญหามันอาจจะซับซ้อนหรือยุ่งยากมากๆ ก็ตาม ... ขออย่างเดียวเท่านั้นว่า เวลาเจอปัญหาที่ยากๆ...จงอย่าถอดใจหรือวิ่งหนีมัน เพราะเราต่างก็รู้ว่า ก้าวแรกของการแก้ปัญหานั้น คือการยอมรับว่าปัญหานั้นมีอยู่ จากนั้นเราจึงต้องวิเคราะห์ถึงสาเหตุของมัน เพื่อที่จะได้แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม บางครั้งบางคราว เราอาจจะพักปัญหานั้นไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว...แต่การพักปัญหาไว้ชั่วคราวกับการละทิ้งปัญหานั้น ต่างกันโดยสิ้นเชิง ... ฝรั่งว่าไว้ว่า... "Running away from your problems is a race you'll never win." แปลว่า "การวิ่งหนีปัญหานั้น ก็เปรียบเสมือนการแข่งขันที่คุณไม่มีทางชนะ" เราอาจแกล้งลืมปัญหาไป หรือหนีปัญหา หรืออาจทิ้งให้คนอ...