Post#3-194:
เช้านี้ผมมีเหตุให้ต้องมาประชุมกับ Investor รายหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ คุณ X นะครับ)
หลังจากใช้เวลาหารือความเป็นไปได้ทางธุรกิจอยู่พักใหญ่ๆ...ก็มาถึงช่วงของการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทั่วๆ ไป
ตอนหนึ่งของการสนทนา...คุณ X แสดงทัศนะไว้น่าสนใจมาก และน่าจะนำมาใช้เป็นข้อเตือนใจสำหรับเจ้าของกิจการและผู้บริหารท่านอื่นๆ ได้
คุณ X บอกว่า "ความจริงใจนั้น สำคัญมากในการทำธุรกิจร่วมกัน...ถ้าคิดแต่จะปิดบังหรือมีวาระซ่อนเร้น มีอะไรไม่พูดกันตรงๆ แล้ว เห็นทีว่าคงทำงานด้วยกันได้ยาก"
...
นี่อาจเป็นความจริงข้อหนึ่งที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้...
คนที่อยากจะขายของหรือมองหานักลงทุน มักจะบอกเล่าแต่ด้านดีของตัวเอง โดยจงใจที่จะปิดบังหรือบิดเบือนข้อเสียหรือข้อบกพร่องไว้เสีย
เรียกว่า หากครั้งแรกที่เจอกัน ก็นำหน้าด้วยความไม่จริงใจด้วยแล้ว ไหนเลยจะทำให้ผู้ซื้อหรือนักลงทุน ยอมเห็นดีเห็นงามปลงใจกับเราได้
...
คุณ X เน้นว่า การจะเป็นหุ้นส่วนกัน จึงต้องเปิดเผยและพูดความจริงต่อกัน อะไรที่ติดอยู่ในใจหรือมีปัญหา ก็ต้องเอาออกมาวาง "บนโต๊ะ" เพื่อที่จะได้เข้าใจกันและช่วยกันแก้ปัญหา
หากปล่อยให้ทุกอย่างค้างคา รังแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ที่มีร้าวฉาน, ที่ซ้ำร้ายก็คือ ปัญหาที่หมกไว้ก็ยังคงอยู่...และในที่สุด ก็จะนำไปสู่ความล่มสลายของธุรกิจ
คุณ X ทิ้งท้ายไว้ว่า "การเป็นหุ้นส่วน เพื่อทำธุรกิจร่วมกันนั้น เราเริ่มจากติดลบ (เพราะต้องลงทุน) จากนั้นจึงต้องช่วยกันทำให้เป็นศูนย์ (คือเริ่มเท่าทุน) แล้วก็เริ่มเป็นบวก (คือเริ่มมีกำไร)
ต่อเมื่อเป็นบวกแล้ว ทำยังไงจึงจะเป็นทวีคูณ (ทำให้ธุรกิจเติบโต)
เมื่อถึงเวลาที่ธุรกิจเติบโต มั่งคั่ง และยั่งยืนแล้ว จึงค่อยคิดเรื่อง "หาร"
...
ผมทำหน้างง เมื่อคุณ X พูดเรื่องหาร...คุณ X ยิ้ม แล้วขยายความต่อว่า...
"ก็เมื่อธุรกิจไปถึงจุดที่มั่งคั่งแล้ว ก็ถึงเวลาต้องนำกำไรมา "หาร" กันไงครับ"
...ขอคารวะคุณ X สำหรับวิธีคิดที่แบ่งปันมานี้ครับ ^^
เช้านี้ผมมีเหตุให้ต้องมาประชุมกับ Investor รายหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ คุณ X นะครับ)
หลังจากใช้เวลาหารือความเป็นไปได้ทางธุรกิจอยู่พักใหญ่ๆ...ก็มาถึงช่วงของการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทั่วๆ ไป
ตอนหนึ่งของการสนทนา...คุณ X แสดงทัศนะไว้น่าสนใจมาก และน่าจะนำมาใช้เป็นข้อเตือนใจสำหรับเจ้าของกิจการและผู้บริหารท่านอื่นๆ ได้
คุณ X บอกว่า "ความจริงใจนั้น สำคัญมากในการทำธุรกิจร่วมกัน...ถ้าคิดแต่จะปิดบังหรือมีวาระซ่อนเร้น มีอะไรไม่พูดกันตรงๆ แล้ว เห็นทีว่าคงทำงานด้วยกันได้ยาก"
...
นี่อาจเป็นความจริงข้อหนึ่งที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้...
คนที่อยากจะขายของหรือมองหานักลงทุน มักจะบอกเล่าแต่ด้านดีของตัวเอง โดยจงใจที่จะปิดบังหรือบิดเบือนข้อเสียหรือข้อบกพร่องไว้เสีย
เรียกว่า หากครั้งแรกที่เจอกัน ก็นำหน้าด้วยความไม่จริงใจด้วยแล้ว ไหนเลยจะทำให้ผู้ซื้อหรือนักลงทุน ยอมเห็นดีเห็นงามปลงใจกับเราได้
...
คุณ X เน้นว่า การจะเป็นหุ้นส่วนกัน จึงต้องเปิดเผยและพูดความจริงต่อกัน อะไรที่ติดอยู่ในใจหรือมีปัญหา ก็ต้องเอาออกมาวาง "บนโต๊ะ" เพื่อที่จะได้เข้าใจกันและช่วยกันแก้ปัญหา
หากปล่อยให้ทุกอย่างค้างคา รังแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ที่มีร้าวฉาน, ที่ซ้ำร้ายก็คือ ปัญหาที่หมกไว้ก็ยังคงอยู่...และในที่สุด ก็จะนำไปสู่ความล่มสลายของธุรกิจ
คุณ X ทิ้งท้ายไว้ว่า "การเป็นหุ้นส่วน เพื่อทำธุรกิจร่วมกันนั้น เราเริ่มจากติดลบ (เพราะต้องลงทุน) จากนั้นจึงต้องช่วยกันทำให้เป็นศูนย์ (คือเริ่มเท่าทุน) แล้วก็เริ่มเป็นบวก (คือเริ่มมีกำไร)
ต่อเมื่อเป็นบวกแล้ว ทำยังไงจึงจะเป็นทวีคูณ (ทำให้ธุรกิจเติบโต)
เมื่อถึงเวลาที่ธุรกิจเติบโต มั่งคั่ง และยั่งยืนแล้ว จึงค่อยคิดเรื่อง "หาร"
...
ผมทำหน้างง เมื่อคุณ X พูดเรื่องหาร...คุณ X ยิ้ม แล้วขยายความต่อว่า...
"ก็เมื่อธุรกิจไปถึงจุดที่มั่งคั่งแล้ว ก็ถึงเวลาต้องนำกำไรมา "หาร" กันไงครับ"
...ขอคารวะคุณ X สำหรับวิธีคิดที่แบ่งปันมานี้ครับ ^^
Comments
Post a Comment