Skip to main content

Post#3-183: พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต

Post#3-183:
เมื่อวานมีอดีตเพื่อนร่วมงานท่านหนึ่งถามเรื่อง lay-off ที่ผมทิ้งปิดท้ายไว้ใน Post

ว่ากันตามสภาพเศรษฐกิจในตอนนี้แล้ว การถูก lay-off อาจไม่ใช่เรื่องไกลตัวแต่อย่างใด

ตรงกันข้าม...มันอาจจะมาหาเราโดยไม่เปิดโอกาสให้เราตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ

...

เนื่องจากผมไม่ใช่ Guru ด้าน HR และกฎหมายแรงงาน ผมคงไม่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิและค่าชดเชยเกี่ยวกับเรื่อง lay-off นี้

แต่อยากจะชี้ให้เห็นว่า ในฐานะนายจ้างคนหนึ่งแล้ว ผมมีวิธีการ short-list ยังไง หากความจำเป็นขีดสุดมาถึง

เปรียบเทียบให้เข้าใจชัดๆ แล้ว การ lay-off ก็เหมือนการสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต อย่างที่ผมจั่วหัวไว้

...

ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะใดในร่างกาย...หากเราจำเป็นต้องตัดมันทิ้งไป ย่อมส่งผลให้เราเจ็บทั้งกายและเจ็บทั้งใจ ทั้งสิ้น

แต่เมื่อต้องเลือกระหว่างตัดอวัยวะส่วนนั้นทิ้ง กับการรักษาให้มีชีวิตรอดต่อไป...เห็นทีว่า นายจ้างหรือเจ้าของกิจการทั้งหลาย คงเลือกรักษาชีวิตให้รอดก่อนเป็นแน่

ตัดแขนทิ้งก็ยังดีกว่าตาย...ปลดคนออกก็ยังดีกว่าปิดบริษัทฯ...ประมาณนั้น

...

แต่ก่อนที่จะเลือก lay-off นั้น แน่ใจแล้วใช่มั๊ย ว่าอะไรที่ควรทำ เราได้ทำไปหมดแล้ว?...เช่น

หนึ่ง...ตัดค่าใช้จ่ายที่จำเป็นน้อย ก่อนที่คิดจะตัดลดคน

สอง...ระงับการใช้จ่ายที่ไม่ส่งผลต่อรายได้หรือกำไรระยะสั้น

สาม...ตัดลดเงินเดือนเจ้าของหรือผู้บริหารระดับสูง ไม่ใช่ตัดจากพนักงาน แต่ตัวเองได้เท่าเดิม

สี่...จัดการเรื่อง Cash Flow และ Cash Management เสียใหม่

ฯลฯ

...

คราวนี้มาถึงประเด็นพิจารณาว่าจะ lay-off บ้างครับ...ซึ่งผมมี short-list ไว้ดังนี้ (และขอย้ำว่า แต่ละคนแต่ละองค์กร ไม่จำเป็นต้องมีกรอบพิจารณาที่เหมือนกันนะครับ)

หนึ่ง...ตัดคนที่ผลงานไม่ชัดเจนก่อน...ถามตัวเองง่ายๆ ว่า ถ้าพรุ่งนี้คนๆ นี้ไม่มาทำงาน จะทำให้มีอะไรสะดุดบ้าง?

อ้อ! แล้วก็ไม่ต้องให้โอกาสแก้ตัวนะครับ เพราะถ้าเค้าคิดจะเป็นพนักงานที่ดีน่ะ คงไม่ต้องรอจนวันนี้แน่ๆ ดังนั้น ถ้าเค้าคนที่ว่า จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ต่างกัน...ก็ไม่ต้องลังเลครับ

สอง...เลือกตัดจาก Cost Center ไปหา Profit Center...ถ้าต้องเลือกตัดระหว่างคนหาเงินกับคนใช้เงิน จะเลือกตัดใครครับ?

แต่ฝากให้ดูดีๆ นะครับ ต้องเทียบ Cost กับ Profit ไม่ใช่ Revenue เพราะประหยัดเงินได้หนึ่งบาทก็เท่ากับกำไรเพิ่มขึ้นหนึ่งบาท แต่สร้างรายได้เพิ่มขึ้นหนึ่งบาท ยังไม่แน่ว่าจะได้กำไรคุ้มมั๊ย

สาม...ตัดเป็นคนๆ อย่าตัดแบบหารเฉลี่ย...ทุกคนมีค่าครองชีพ ต้องกินต้องใช้ ดังนั้น การขอลดเงินเดือนจากทุกๆ คน จะทำให้ไม่มีใครชนะ และทุกคนต่างก็จะอยู่ไม่ได้

ดูแล้วอาจจะเหมือนใจร้าย...แต่สุดท้ายก็ต้องมีคนเสียสละอยู่ดี

...

หากคุณอยู่ฝ่ายลูกจ้าง...จงพิจารณาและทบทวนตัวเองให้ดีๆ

ถ้าที่ผ่านมา เราไม่เคยสร้างคุณค่าให้กับองค์กร...ทำไมวันนี้จะมาพร่ำบ่นว่านายจ้างโหดร้าย หรือองค์กรฯ ไม่ให้โอกาส

หากแม้คุณมั่นใจว่า เราทำดีที่สุดแล้ว แต่นายและองค์กรฯ มองไม่เห็นค่า...ถ้าจริง ก็อย่าได้แคร์ เพราะถ้าคุณเจ๋งจริง ยังไงก็ต้องหางานใหม่ได้แน่ๆ

...ในยามเศรษฐกิจแบบนี้...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...ก็ขอให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง จงเดินต่อไปข้างหน้าครับ เราไม่มีเวลามามัวอาลัยอาวรณ์อดีต หรือเดินย้อนหลัง...

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...