Skip to main content

Post#3-193: โชคไม่ดี?

Post#3-193:
ไม่ใช่ว่าผมจะเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องโชคเอาเสียเลยนะครับ

แต่ถ้าถามว่า เชื่อหรือไม่เชื่อมากกว่ากัน...ผมก็จะตอบว่า "ไม่เชื่อ"

ไม่รู้สิครับ...ผมว่ามันก็ไม่ค่อยจะยุติธรรมเท่าไหร่ ที่เราจะโยนให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของโชคชะตาเพียงอย่างเดียว

...

ผมรู้สึกว่า การที่เรามัวแต่โทษโชคชะตา มันทำให้ชีวิตเราไม่ไปข้างหน้า...มันเหมือนกับเป็นการตอกย้ำความพ่ายแพ้ของตัวเราเอง

สังเกตดูก็ได้ครับ...เวลาเราคิดว่า เรื่องมันเป็นแบบนี้เพราะเราโชคไม่ดีปุ๊บ เราจะหยุดคิดอย่างอื่นทันที แล้วก็มัวแต่นั่งสมเพชหรือไม่ก็ปลอบใจตัวเอง

ดังนั้น ผมจึงคิดว่า ส่วนหนึ่งของความผิดพลาดหรือความสำเร็จ จึงน่าจะเป็นผลมาจากปัจจัยภายในมากกว่าปัจจัยภายนอก

...

ลองพิจารณาวาทะนี้ดูครับ

"Luck is a matter of Preparation meeting Opportunity."

แปลว่า "โชคดี เป็นเรื่องของการเตรียมตัวให้พร้อม และเจอกับโอกาสที่เข้ามาพอดี" (เข้าใจว่า Oprah Winfrey เป็นผู้กล่าวไว้ - หากผิด ขออภัยครับ)

ขยายความอีกทีว่า ถ้ามีโอกาสเข้ามา แต่เราไม่เคยเตรียมตัวให้พร้อมเลย..."โชคดี" ก็ไม่อาจเป็นของเราได้

หากแต่ถ้าเราเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ...เมื่อใดก็ตามที่โอกาสวิ่งเข้ามาหา ก็ลงตัวเลยครับ..."โชคดี" ก็เป็นของเรา

...

ถ้าเรามั่นใจว่าเตรียมทุกอย่างมาดี แต่ผลลัพธ์ออกมาแย่...เราก็อาจจะบอกตัวเองได้ว่า "เราโชคไม่ดี"

แต่ในความเป็นจริง เราเคยนึกย้อนไปบ้างมั๊ยครับ ว่าที่ว่าเตรียมทุกอย่างมาดีแล้วนั้นน่ะ เตรียมดีแล้ว จริงใช่มั๊ย?

ถ้านึกย้อนกลับไป แล้วยังตอบตัวเองได้ว่า ตรงนั้นน่าจะทำแบบนั้น ตรงนี้น่าจะป้องกันแบบนี้...ก็แปลว่า เรายังเตรียมทุกอย่างไว้ไม่ดีพอ

นั่นก็น่าจะแปลว่า เรายังไม่น่าจะพูดได้เต็มปากว่า "เราโชคไม่ดี" น่าจะเป็น "เรายังเตรียมตัวมาไม่ดีพอ" มากกว่า

หรือใครมีความเห็นเป็นอย่างอื่น...ลองแชร์กันดูครับ

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...