Skip to main content

Post#3-182: The value you bring to an hour

Post#3-182:
หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่น้องๆ มักจะสงสัยอยู่บ่อยๆ และมักจะตั้งไว้เป็นจุดสังเกตนายของตัวเองก็คือ ทำไมนายมาสายหรือกลับเร็วได้ แต่ทำไมพวกผม (พวกหนู) ต้องทำงานครบตามเวลา?

ตรงนี้ก็ต้องบอกน้องๆ ว่า มันก็เป็นข้อเท็จจริงและข้อปฏิบัติโดยทั่วไป ที่เมื่อใดที่คุณก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับที่สูงขึ้น...ผู้บริหารองค์กรฯ ก็มักจะไม่ได้สนใจกับเวลาเข้าและออกงานของคุณมากเท่ากับพนักงานระดับปฏิบัติการ

ทั้งนี้และทั้งนั้น ตามความเห็นของผม คงเป็นเพราะ 2 สาเหตุหลักๆ

หนึ่ง...เพราะองค์กรฯ เชื่อว่า ผู้บริหารมีความรับผิดชอบมากเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องควบคุมด้วยเวลาทำงานแบบเป๊ะๆ และควรจะมีจิตสำนึกมากพอ ที่จะรู้ว่าอะไรควรและไม่ควร

อีกทั้ง "การบริหารเวลา" ก็เป็นหนึ่งในความสามารถที่ผู้บริหารทั่วไป ต้องมีอยู่แล้ว

สอง...เพราะองค์กรฯ ประเมินผลงานของผู้บริหารในแบบองค์รวม เรียกว่า ถ้าบรรลุ KPI ก็ไม่มีประเด็นที่จะต้องไปจู้จี้จุกจิก

การที่ผู้บริหารใช้เวลานอก office มากกว่าอยู่ใน office แล้วบรรลุผลงาน ย่อมดีกว่าที่พวกเค้าอยู่แต่เหย้าเฝ้าแต่ office แต่ไม่มีผลลัพธ์ที่ดี

...

แต่ไม่ว่าเราจะเป็นผู้บริหารหรือพนักงานก็ตาม...

เราควรจะถามตัวเองว่า ที่เรานั่งทำงานอยู่นั้น เรามีงานในความรับผิดชอบมากมายจนไปไหนต่อไหนไม่ได้ หรือว่าเราเพียงแค่นั่งให้ครบเวลา และตั้งตารอที่จะกลับบ้าน

จริงๆ แล้วมันไม่ได้แปลว่า คนที่มาทำงานแต่เช้าตรู่และกลับดึก จะมีผลงานดีกว่าผู้ที่มาทำงานและกลับบ้านตรงเวลา

หากคุณเป็นผู้บริหาร ต้องถามจิตสำนึกในความรับผิดชอบต่อการบริหารเวลาของตัวเอง และหากคุณเป็นพนักงาน ต้องถามถึงวินัยแห่งความตรงต่อเวลาที่ต้องปฏิบัติ

แปลว่า ผู้บริหารและพนักงาน ต่างก็มีพันธะในเรื่องการให้เวลากับองค์กรทั้งสิ้น

...

Jim Rohn (นักเขียนและนักพูดสร้างแรงบันดาลใจชาวอเมริกัน) ได้ฝากวาทะเตือนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า

"You don't get paid for the hour. You get paid for the value you bring to an hour."

แปลว่า "คุณไม่ได้รับค่าจ้างสำหรับเวลาหนึ่งชั่วโมง หากแต่คุณได้รับค่าจ้างจากคุณค่าที่คุณส่งมอบให้กับองค์กรจากเวลาหนึ่งชั่วโมงนั้นต่างหาก"

ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริหารหรือพนักงาน...ถ้าคุณเพียงแค่นั่งหายใจทิ้ง ปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันๆ โดยไม่ได้สร้างคุณค่าใดๆ ให้กับองค์กร แล้วล่ะก็...

วันใดที่องค์กรของคุณโดนพิษเศรษฐกิจจนซวนเซ...ก็เป็นอันแน่ใจได้ว่า คุณจะอยู่ใน Top List ของการถูก lay-off

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...