Skip to main content

Posts

Showing posts from August, 2016

Post#3-359: เป็นมาอย่างไร...หาใช่ต้องเป็นไปอย่างนั้น

Post#3-359: ผมจะรู้สึกตื่นเต้นและยินดีทุกครั้งที่เพื่อนๆ พี่ๆ หรือน้องๆ คิดจะเริ่มต้นหรือเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ ไม่ว่าจะเริ่มต้นธุรกิจใหม่, เปลี่ยนงานใหม่ หรือทำอะไรอย่างอื่นที่ไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าผมเป็นพวก anti ของเก่าๆ หรือเดิมๆ...เพราะจริงๆ แล้ว การอยู่แบบเดิมๆ มันก็เป็นเรื่องสบายดีเอาการ แต่การสบายดีในวันนี้...อาจทำให้เราลำบากเหลือแสนในวันหน้า หากว่าเราไม่มี "ภูมิคุ้มกันความคุ้นชิน" ที่มากพอ ... ในความเป็นจริงแล้ว...คนเราต่างมีความชอบไม่เหมือนกัน... บางคนชอบที่จะใช้ชีวิตที่เดิมๆ, ไม่ชอบชีวิตที่หวือหวา ไม่ชอบความวุ่นวายหรือเปลี่ยนแปลง บางคนก็ชอบที่จะผจญภัยไปกับชีวิต, ไม่กลัวอะไรใหม่ๆ, ชอบลองนั่น นู่น นี่ และมองความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องสนุก ซึ่งไม่ว่าเราจะชอบแบบไหน...ก็ล้วนแต่ไม่มีถูกหรือผิด สำคัญที่ว่า คนที่ไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง จะรับมือยังไงเมื่อเจอความเปลี่ยนแปลง และคนที่ชอบความเปลี่ยนแปลง จะรับมือยังไง เมื่อต้องเจอกับความไม่เปลี่ยนแปลง? ฟังดูอาจจะนึกว่า ผมยียวน...แต่เปล่าเลยครับ...ผมกำลังตั้งคำถามกับสภาพที่เราต่างก็ต้องพบเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันต่างห...

Post#3-358: หมั่นเช็คความเข้าใจเป็นระยะ

Post#3-358: บ่ายวันนี้ ผมมีเหตุต้องเรียกประชุมทีมงานมาทำความเข้าใจร่วมกันอีกครั้งในเรื่องเดิมที่เคยคุยกันไปแล้วไม่ต่ำกว่า 4-5 รอบ แม้ผมจะเหนื่อยใจกับการต้องพูดเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...แต่ก็เข้าใจดี ว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินสำหรับการทำงานกับคนหมู่มาก ส่วนใหญ่แล้ว เวลาถามทีมงานว่า "เข้าใจมั๊ย?" ก็มักจะได้ยินคำตอบว่า "เข้าใจ" เสมอ แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ให้อธิบายซ้ำในสิ่งที่บอกว่า "เข้าใจ"...น้อยกว่า 50% ที่สามารถอธิบายได้โดยไม่ผิดเพี้ยน ... ต่อให้มีการทำบันทึกการประชุมไว้ ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะเข้าใจตามที่บันทึกไว้ ได้ถูกต้องตรงกัน โดยส่วนใหญ่แล้ว...ทีมงานก็มักจะตีความตามที่ตัวเอง "อยากจะให้เป็น" ไม่ใช่ "ตามที่ต้องเป็น" ดังนั้น ที่เมื่อใดก็ตาม ผมพบว่า ผลลัพธ์ของงานเกิด "เพี้ยน" ไปจากที่คาดการณ์...ผมก็มักจะเรียกประชุมเพื่อสอบทานความเข้าใจของทีมงาน และครั้งใดก็ครั้งนั้น...ที่ผมพบว่า ส่วนใหญ่ของความผิดเพี้ยนนั้นๆ เกิดจากการไม่ทำตามขั้นตอนที่สรุปร่วมกัน แต่มักจะเฉไฉไปตามความสะดวก (หรือความมักง่าย) ของแต...

Post#3-357: มาเดินทางไปต่างบ้านต่างเมืองกันเถอะ

Post#3-357: ด้วยความที่เดินทางในแถบ CLMV บ่อยเสียเหลือเกิน เลยทำให้ผมเกิดความเคยชินกับการไม่ต้องขอ VISA ทำให้บางครั้ง เกือบจะหน้าแตกบ่อยๆ เพราะกำหนดแผนเดินทางเสร็จแล้ว เกือบลืมเช็คว่า ประเทศที่จะไปนั้น ต้องขอ VISA ด้วยมั๊ยหนอ? หลายท่านคงทราบอยู่แล้ว ว่าปัจจุบันคนไทยเราเดินทางไปได้ถึง 29 ประเทศ โดยไม่ต้องขอ VISA ครับ (หาใน Google ได้เลยครับ) ... ช่วงสิบกว่าปีก่อน ผมเดินทางเป็นว่าเล่น แต่ส่วนมากเป็นการติดตามเจ้านายไปทำงาน และโชคดีที่เจ้านายยังเมตตา ให้ได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง...แต่กระนั้น ก็เป็นการเปิดโลกทัศน์ให้เห็นโลกกว้างขึ้นอย่างยอดยิ่ง ได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น, ได้เรียนรู้อะไรที่ไม่เคยรู้ และได้ทำอะไรอีกหลายต่อหลายอย่างที่ไม่มีให้ทำในเมืองไทย ที่สำคัญคือโอกาสในการเรียนรู้นิสัยใจคอของผู้คนต่างถิ่น, ได้ศึกษาวิธีคิด, ได้เรียนรู้วัฒนธรรมและประเพณีที่แตกต่าง ดังนั้น ใครที่มีโอกาสและศักยภาพ...จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องเดินทางไปต่างบ้านต่างเมืองบ้าง... แม้จะเป็นการไปกับ "ชะโงกทัวร์" ก็ถือเป็นโอกาสที่เราจะได้ประสบการณ์ที่มีค่าแล้วล่ะครับ ^^ ... บางคนไม่ชอบเดินทาง...

Post#3-356: สมดุลย์แห่งชีวิต

Post#3-356: เที่ยงที่ผ่านมา ผมมีนัดทานกลางวันกับกลุ่มเพื่อนๆ ที่เคยทำงานด้วยกัน... แม้จะเจอกันได้เพียงแค่ช่วงสั้นๆ เพราะผมดันนัดพวกเค้ามาในวันครอบครัว...แต่ก็เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข เพราะก็คุยกันแต่เรื่องสัพเพเหระ...update ชีวิต ทั่วๆ ไป ตอนหนึ่งของการสนทนา...เราคุยกันถึงเรื่องสังขาร ^^ (ไม่ต้องพยายามเดาอายุหรอกครับ...เลยหลักสี่มาแล้วทั้งนั้น) เราคุยกันประมาณว่า เมื่ออายุเริ่มมากขึ้น เราก็จำเป็นจะต้องดูแลตัวเองมากขึ้น และเราจำเป็นต้องปรับตัวให้เท่าทันสังขาร...ไม่ใช่อยู่แบบปลงสังขาร ... มานั่งทบทวนดูถึงสิ่งที่ผมคุยกับเพื่อนๆ ดูแล้ว...ผมคิดว่า แม้ว่าเราจะมิอาจเอาชนะกาลเวลาได้ แต่เราสามารถจะปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับกระแสเวลาได้ หากรู้ว่า สังขารเริ่มโรยรา...เราก็จำต้องปรับเปลี่ยนพฤฒิกรรมการใช้ชีวิต ตั้งแต่เรื่องอาหารการกิน, เรื่องการพักผ่อน ไปจนกระทั่งการออกกำลัง จริงๆ ผมอาจจะสรุปแรงไปนิด...แต่ก็อยากจะสะกิดว่า ผู้คนส่วนใหญ่ (ที่มีผมเป็นหนึ่งในนั้น) ต่างก็มุ่งไปที่การเตรียมเงินให้พร้อมหลังเกษียณ แต่ไม่ได้คิดเตรียมร่างกายให้พร้อมไปด้วย แปลว่า เรากำลังทำงานอย่างหนักโดยมุ่งแ...

Post#3-355: Training in Yangon

Post#3-355: เมื่อวานนี้ ผมมาปฏิบัติหน้าที่เป็น Trainer ให้กับทีมงานกว่า 20 ชีวิต ที่กรุงย่างกุ้ง ซึ่งถือเป็นการ Training ที่สนุกมากครั้งหนึ่งในชีวิต ก็เพราะผมพูดภาษาพม่าไม่ได้ อีกทั้งภาษาอังกฤษก็อยู่ในระดับพอใช้เท่านั้น...ก็เลยต้องบวกภาษามือเข้าไปเป็นตัวเสริม บางหัวข้อก็ทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย...เพราะล่ามมัวแต่ขำท่าทางและภาษาของผม ^^ เรียกว่าสอนไปก็ขำไป แต่บรรยากาศโดยรวมดีเป็นอย่างยิ่ง...ไม่ต่างจากครั้งที่ไป Training ที่กรุงพนมเปญเลย ... เท่าที่ผมสังเกต บางครั้งการสื่อสารกับผู้อื่นด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษาแม่ของเค้า...ก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสียทีเดียว ตรงกันข้าม...ผู้รับสารมักจะตั้งใจและใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะเกรงจะไม่เข้าใจ...ต่างจากเวลาที่ฟังภาษาแม่ ก็มักจะฟังแบบผ่านๆ เพราะเข้าใจไปเองว่า ยังไงก็เข้าใจเนื้อหาได้ง่ายๆ เช่นเดียวกับ Presentation ที่นำเสนอ, โดยมากหากเป็นภาษาแม่ ก็มักจะทำให้ผู้เข้ารับการอบรม มัวแต่ก้มหน้าก้มตาจด...พลอยทำให้ตามเนื้อหาไม่ค่อยจะทัน ยิ่งถ้า print ให้ล่วงหน้านี่ยิ่งหนักเลยครับ เพราะถือว่ายังไงก็ไปอ่านทวนเองได้...ว่าแล้วก็เลยทำงานอื่นๆ ไปด้วย ฟังบรรยายไปด้วย...

Post#3-354: อย่าไปบอกใครนะ

Post#3-354: หนึ่งในประเด็นที่ทำให้เพื่อนๆ ต้องผิดใจกันโดยไม่จำเป็น ก็คือ "การชอบนำเรื่องของเค้าไปเล่าต่อโดยไม่จำเป็น" นั่นเอง เคยมั๊ยครับ บางทีเราเล่าเรื่องอะไรให้เพื่อนคนหนึ่งฟัง (สมมติชื่อ A ครับ) แล้วเราก็บอก A ว่า ไม่ต้องไปเล่าต่อนะ... แต่ปรากฏว่า ไม่ทันจะข้ามคืน เพื่อนอีกคน (สมมติชื่อ B ครับ) ก็จะมาถามไถ่เรา ในเรื่องที่เราบอก A ไว้ว่าไม่ให้เล่าต่อ นั่นล่ะ ผมถามตรงๆ แบบไม่ต้องเข้าข้างใครนะครับ...ตอบแบบมองจากมุมของคนนอกนี่ล่ะ...คิดว่าใครผิดครับ? ผมให้เวลาคิด 3 นาทีบะหมี่สุก พอมั๊ยครับ? ... ไม่รู้ว่าจะมีใครตอบเหมือนผมบ้างมั๊ยหนอ... เพราะผมตอบว่า ทั้ง 3 คนนี้ "ผิดทั้งหมด" B น่ะ ผิดแน่ เพราะการที่ B เอาเรื่องนี้มาคุยกับเรานั้น แสดงออกว่า หนึ่ง คือ B ไม่รู้จักมารยาท เพราะสอดรู้ และสอง B นั้น เป็นพวกไม่ห่วงเพื่อน เพราะทำให้ A เสียเครดิตไปด้วย สำหรับ A ผิดที่สุดในเรื่อง ไว้ใจไม่ได้ เพราะเอาเรื่องของเราไปเล่าต่อโดยที่เราไม่อนุญาต ทั้งๆ ที่กำชับไว้แล้ว ก็ยังทำ ส่วนตัวเรานั้น ผมพิจารณาว่า ผิดที่สุดในสามคนเลยครับ เพราะถ้าเป็นเรื่องไม่อยากให้ใครรู้ งั้น...

Post#3-353: วางหมากทางธุรกิจ

Post#3-353: บ่ายที่ผ่านมา ผมพบตัวเองอยู่ในงาน Business Matching ที่จัดขึ้นโดยนิตยสารฉบับหนึ่ง เป็น Exclusive Event ที่เชิญ CEO ที่ได้รับคัดเลือกเป็นการเฉพาะมาเพียงแค่ 70 บริษัท เท่านั้น ฟังดูยิ่งใหญ่และดูเท่มาก...แต่ผมกลับรู้สึกตรงกันข้าม เพราะจนแล้วจนรอด...ผมก็ยังนึกเหตุผลดีๆ ที่เค้าเชิญผมไปร่วมงานไม่เจอเอาจริงๆ ต้องยอมรับก่อนครับว่า ไม่ว่าจะด้านกล่องหรือด้านเงิน...ผมไม่คิดว่าบริษัทของผมอยู่ในระดับที่ควรได้รับการเชิญ...ไม่ได้ถล่มตัวและไม่ได้ดูถูกตัวเองนะครับ...แต่แค่ยอมรับความจริง ที่ตอบรับเข้าร่วมงาน ก็เพราะอยากรู้ว่า รูปแบบของงานจะเป็นยังไง เพราะนึกไม่ออกว่าคนใหญ่ๆ โตๆ นี่ เค้าจะ deal งานในลักษณะไหนกันหนอ? ... อาจมีบ้าง ที่บางครั้งเราถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของอะไรบางอย่าง หรืออาจถูกวางตัวเป็นหมากของใครบางคน...ซึ่งก็ถือเป็นธรรมดาของการทำธุรกิจ แต่ทว่า การต้องกลายเป็นเครื่องมือหรือหมาก...ไม่ได้แปลว่า เราต้องตกเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ เสมอไป แต่มันสำคัญตรงที่เรารู้จักใช้สถานการณ์นั้นๆ พลิกจากการที่เราเป็นเครื่องมือ...ให้เรากลายเป็นคนใช้เครื่องมือได้...

Post#3-352: แผ่นดินไหว

Post#3-352: ประเด็นสุด Hot บน News Feed เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา เห็นจะไม่มีอะไรเกินเรื่อง "แผ่นดินไหว" เท่าที่ตรวจสอบข้อมูลดู เป็นแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นที่เมียนมาร์ ในระดับ 6.8 แมกนิจูด และรู้สึกได้ในหลายๆ พื้นที่ในประเทศไทย โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในตึกสูงๆ เพื่อนผมที่กรุงย่างกุ้ง ก็ส่งข้อความมาแจ้งให้ทราบ...และบอกต่ออีกว่า ไม่รู้จะมี Aftershock อีกรึเปล่า ผมอาจจะเป็นพวกรู้สึกช้า...เพราะไม่ว่าจะเกิดแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวสักกี่ครั้ง...ผมก็ไม่เคยรู้สึกถึงมันเลยสักครั้งเดียว ... ในช่วง 10 ปีหลังๆ มานี้ เราอาจจะรู้สึกว่า เรื่องแผ่นดินไหวเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่แน่ใจว่า...เกิดจากแม่พระธรณีจะพิโรธที่มนุษย์ย่ำยีธรรมชาติเหลือคณา ท่านเลยส่งสัญญาณเตือน หรืออาจเป็นเพราะว่า Earthquake Tracking Technology ของมนุษย์พัฒนามากขึ้นกันแน่? แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด...ก็ส่งผลให้การตระหนักถึงภัยธรรมชาติที่เมื่อก่อนเราคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น แม้ไม่ถึงกับจะเป็นเรื่องชวนตระหนก แต่ก็เป็นเรื่องไม่อาจละเลย ... มาลองทบทวนดู ตั้งแต่เหตุธันวาวิปโย...

Post#3-351: มือใหม่อยากลอง

Post#3-351: มื้อค่ำที่ผ่านมา เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งของผมนัดเจอเพื่อหารือเรื่องไอเดียทางธุรกิจที่เธอมีอยู่ หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่ผมมักจะโดนเพื่อนๆ หรือน้องๆ ถาม ก็คือ "จะทำอะไรดี" ฟังแล้วก็อยากเขกหัวคนถาม...เพราะถ้าตัวเองยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร แล้วที่ปรึกษาจะแนะนำยังไงดีล่ะ? ... หลายๆ คนที่อยากจะเริ่มต้นทำอะไรเป็นของตัวเอง มักจะมีไอเดียเต็มหัวไปหมด...นั่นก็ดี นี่ก็อยากทำ แต่ที่แย่กว่าการมีไอเดียเต็มหัวไปหมดน่ะ ก็คือการจับต้นชนปลายไม่ถูก...ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี บางครั้งเรื่องที่ต้องเริ่มทำเป็นอย่างแรกก็ไม่ได้ทำ แต่ดันไปห่วงทำเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนก่อนเสียอย่างนั้น ... จากที่ผมให้ข้อแนะนำเพื่อนรุ่นน้องผมของผมไป ก็คือ 1.ตกลงใจให้แน่ก่อน ว่าไอเดียล้านแปดเรื่องในหัวนั้นน่ะ เลือกไอเดียไหนมาทำดี? 2.ถ้าเลือกไม่ถูกเอาจริงๆ ก็ใช้เกณฑ์ง่ายๆ คือ เราชอบไอเดียนั้นจริงมั๊ย?, ขนาดตลาดใหญ่พอมั๊ย? และเมื่อทดลองทำแล้ว จะต่อยอดได้รึเปล่า? 3.มองออกมั๊ยว่าจะขายใคร, ขายยังไง และใครเป็นคู่แข่ง? 4.เตรียมใจพร้อมมั๊ย หากจะต้องล้มเหลวในช่วงแรกๆ, ถ้าใช่ เตรียมวงเงินไว้เท่าไหร่ ...

Post#3-350: โจโฉ...สุดยอดผู้นำ

Post#3-350: ช่วงนี้ผมกำลังอินกับ Romance of the Three Kingdoms ภาคใหม่ หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ "สามก๊ก" นั่นล่ะครับ...เรียกว่ามีเวลาเมื่อไหร่ เป็นต้องเปิดเล่น และหากกล่าวถึง "สามก๊ก" แล้ว คาดว่าคงจะไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ "โจโฉ" เป็นแน่ โดยส่วนใหญ่แล้ว...ใครๆ ต่างก็มักจะตราหน้าโจโฉว่าเป็น "ผู้ร้าย" บ้าง หรือ "ทรราชย์" บ้าง แต่สำหรับผมแล้ว...ไม่อาจจะชี้ชัดลงไปได้ว่า แท้ที่จริงแล้ว...โจโฉ เป็นทรราชย์หรือเป็นรัฐบุรุษ กันแน่? ... โจโฉสร้างทั้งวิบากกรรมและวีรกรรมไว้มากมายนับตั้งแต่เล็กจนโต ตั้งแต่เป็นขุนนาจตัวจ้อย จนกลายเป็นมหาอุปราข นี่ว่ากันเฉพาะข้อมูลจากนิยายของหลอกว้านจง เท่านั้นนะครับ ส่วนความจริงตามประวัติศาสตร์จะเป็นเช่นไร...ก็สุดวิสัยที่เราจะชี้ชัด ผมคงไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดให้มากความ เพราะทุกท่านสามารถหาอ่านสามก๊กได้ไม่ยาก...และผมก็อยากนำเสนอว่า คนที่อยากจะเป็นนายคน ควรศึกษาวิถีผู้นำของโจโฉไว้บ้าง ... ในบรรดาเจ้าก๊กทั้ง 3 คือโจโฉ, เล่าปี่ และซุนกวน...ต่างก็มีจุดเด่นไปคนละด้าน แต่ถ้าจะเลือกคนที่ "ครบเครื่...

Post#3-349: Nice to know vs Need to know

Post#3-349: หนึ่งในรายการทีวีที่ผมชอบดูที่สุดก็คือ รายการ "TV Champion" และรายการ "แฟนพันธุ์แท้" ไม่รู้ทำไมจู่ๆ วันนี้ ผมก็อยากจะดูทั้ง 2 รายการนี้ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น...ว่าแล้วก็พึ่งพา Youtube ทั้ง 2 รายการ มีจุดร่วมกันก็คือ การเฟ้นหาคนที่สุดยอดในแต่ละหัวข้อ มาแข่งกัน...ซึ่งบางครั้ง คำถามยากขนาดที่ผมต้องอุทานว่า "จะรู้ไปทำไม" ... เมื่อใดก็ตามที่คำถามที่ว่า "จะรู้ไปทำไม" ดังขึ้นในหัวนั้น...นั้นนับเป็นสัญญาณเตือนที่กระตุกให้เราคิดต่อ ...ว่าข้อมูลต่างๆ ที่เรากำลังรับรู้นั้นน่ะ เป็นข้อมูลที่ "nice to know" หรือ "need to know" ข้อมูลที่ nice to know นั้น วันหนึ่งข้างหน้า ก็อาจกลายเป็นประโยชน์ก็เป็นได้...แต่ ณ วันนี้ มันยังเป็นได้อย่างมากก็เพียงแค่ knowledge แต่ข้อมูลที่เรา need to know นั้น เป็นอะไรที่บางครั้งกระตุกให้เราคิดตามและคิดต่อ...และทำให้ information (ข้อมูล) นั้น แปลงสภาพเป็น knowledge และในที่สุด ก็จะพัฒนาต่อไปเป็น wisdom ได้ ... สำหรับผมแล้ว ข้อมูลที่ nice to know ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องสูญเปล่าเสียทั้ง...

Post#3-348: ความเจ็บช้ำของหมอคนและหมอความ

Post#3-348: เมื่อเช้านี้ ผมมีโอกาสได้คุยงานกับเพื่อนที่เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย (สมมติว่าชื่อ K ก็แล้วกันนะครับ)...ที่ผมเชิญมาทำงานด้วยในช่วงนี้ (โดยจ่ายค่าวิชาชีพตามปกติ) หลังจากเสร็จงานแล้ว ผมกับ K ก็คุยกันในเรื่องสัพเพเหระนิดๆ หน่อยๆ...ซึ่งหนึ่งในหัวข้อที่คุยกันก็คือเรื่องเศรษฐกิจ ผมถาม K ว่า ช่วงเศรษฐกิจแบบนี้ มีผลกระทบกับรายได้บ้างรึเปล่า? K บอกว่า ก็มีบ้าง ซึ่งก็รับได้ เพราะเข้าใจถึงภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีนัก...แต่ที่ยอมรับไม่ค่อยได้ก็คือ การที่โดนเบี้ยวค่าจ้าง หรือไม่เบี้ยวก็ตั้งใจไม่จ่ายเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากเพื่อนหรือคนรู้จัก ... ผมมีเพื่อนหลายคนเป็นหมอรักษาคน...และหลายคนก็บ่นให้ผมฟัง คล้ายๆ กับที่ K บ่น เหมือนกัน...คือเพื่อนหรือคนรู้จัก (บางคนนะครับ) มักจะไม่ยอมจ่ายค่าวิชาชีพในการรักษา แม้ว่าจะทั้งหมอคนและหมอความ จะไม่มีต้นทุนสินค้าให้แบกรับ...แต่ก็มีต้นทุนเรื่อง "การใช้ความคิด" และ "เวลา" ค่อนข้างมาก ที่ต้องใช้คุยกับคนไข้หรือลูกค้า จริงๆ แล้วทั้งเพื่อนผมที่เป็นหมอคน และ K ไม่ค่อยจะคิดมาก เวลาเพื่อนๆ หรือน้องๆ ขอคำแนะนำในเรื่องเจ็บป่วยเล็กๆ...

Post#3-347: Success comes before work?

Post#3-347: เหล่าชาวไทยเชื้อสายจีนทั้งหลาย ต่างได้รับการสั่งสอนสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษเป็นหนักหนา ถึงเรื่องการทุ่มเททำงานหนัก เราคงเคยได้ยินได้ฟังมานับครั้งกันไม่ถ้วน ถึงตำนานการก่อร่างสร้างตัวจากเสื่อผืนหมอนใบของไอ้หนุมซินตึ๊งหลายๆ คน... ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเจ้าสัวหรือเถ้าแก่ใหญ่ที่ทุกคนต่างต้องยกย่อง และไม่มีสักคนเดียวที่ไม่ได้บอกหรือสอนเราต่อว่า...ผลสำเร็จของท่าน ล้วนย่อมต้องมี "การทำงานหนัก" เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ... ก็อย่างที่เราคุยกันมาหลายครั้งครับ...แม้จะทุ่มเททำงานหนัก ก็มิได้หมายความว่าจะจบลงด้วยผลสำเร็จเสมอไป ลองถามเหล่าบรรดาเจ้าสัวทั้งหลายดู แล้วจะพบว่า ท่านเหล่านั้น มิใช่มิเคยล้มเหลวเพียงครั้งหรือสองครั้ง...หากแต่นับจำนวนครั้งไม่ถ้วนต่างหาก แต่เราและท่าน ต่างกันตรงที่ เราล้มเหลวแค่กี่ครั้งกันเอ่ย แล้วจึงบอกยอมแพ้...ในขณะที่เหล่าเจ้าสัวทั้งหลาย ไม่ว่าจะล้มกี่ครั้ง ท่านก็ไม่เคยยอมแพ้! ... ผมไปอ่านเจอวาทะนี้เข้า...เห็นว่าสะท้อนภาพความทุ่มเทของเหล่าผู้สร้างตัวจากสองมือเปล่าได้ดีเหลือเกิน...เลยขอนำมาแชร์ต่อครับ "The only place where success ...

Post#3-346: สัมภาษณ์งานสุดเหวอ

Post#3-346: หลายวันก่อน ผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้สมัครท่านหนึ่ง (สมมติชื่อคุณ Y นะครับ)...โดยผมคัดเลือกเธอมาจากผู้สมัครนับร้อยคน หลังจากพูดคุยกันพักใหญ่ๆ...ผมก็ให้การบ้านกับคุณ Y ไปทำ ซึ่งถือเป็นบททดสอบสุดท้าย ก่อนผมจะตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับเธอเข้าทำงาน แน่นอนว่า การบ้านที่ผมมอบให้ ย่อมเป็นคำถามแบบอัตนัย เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้คุณ Y ได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ เมื่อผมอธิบายการบ้านให้กับคุณ Y เข้าใจได้อย่างชัดเจนแล้ว ก็นัดแนะกันว่า ถ้ายังสนใจจะทำงานด้วยกัน อีก 7 วัน ก็ช่วยเอาการบ้านมาส่ง แต่ถ้าคิดว่าเสียเวลา ก็ไม่ต้องกังวลใจไป...ทิ้งการบ้านได้เลย ... ผมมักจะทำแบบนี้กับผู้สมัครตำแหน่งสำคัญๆ ที่ผมจำเป็นจะต้องรู้แน่ๆ ก่อนจะรับมาทำงาน ว่าจะมีฝีมือดีเท่ากับที่พูดไว้ตอนสัมภาษณ์รึเปล่า? ถ้าการบ้านออกมาดีพอ ผมก็ไม่เคยพลาดที่จะคว้าตัวไว้...แต่ถ้ายังทำได้ไม่ดี โดยมากผมก็มักจะให้โอกาสแก้ตัว และบ่อยครั้งที่หลังจากที่ให้การบ้านไปแล้ว...ก็กลายเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบกัน ...แต่สำหรับคุณ Y, นับเป็นตัวอย่างที่พิเศษที่สุดในทางลบ ซึ่งผมไม่เคยเจอมาก่อน ... หลังจาก 5 วันผ่านไป, คุณ ...

Post#3-345: ตัวกลาง

Post#3-345: หนึ่งในความท้าทายที่ผมและหลายๆ คนอาจจะเคยมีประสบการณ์มาบ้าง ก็คือ การต้องเป็น "ตัวกลาง" ในการเชื่อมใครอีก 2 คน เข้าด้วยกัน เป็นต้นว่า เรื่องบางเรื่องเพื่อนไม่สะดวกจะพูดกับเพื่อนอีกคน ก็อาศัยไหว้วานเราให้ไปพูดแทน หรือบางครั้ง เพื่อนโกรธกัน แล้วต่างก็วางฟอร์ม แต่อาศัยเราให้เป็นกาวใจ ไม่ว่าเราจะต้องเป็น "ตัวกลาง" ในเรื่องดีหรือแย่ก็ตามแต่...แน่นอนว่าแต่ละครั้งนั้น ก็มักไม่ใช่งานง่ายเอาเสียเลยจริงๆ ... ผมไม่ทราบวิธีการเป็น "ตัวกลาง" ที่ดีที่สุด...เพราะนั่นขึ้นกับว่า มันเป็นการมองจากมุมไหน ถ้าจบแบบ Happy Ending...ก็กลายเป็นทุกฝ่ายมีความสุข เราที่เป็นตัวกลางก็จะได้รับเสียงชื่นชม แต่ถ้าจบแบบ Bad Ending...ก็จะกลายเป็นทั้งสองฝ่ายยังมีนตึงต่อกัน ส่วนเราก็เข้าหน้าไม่ติดทั้งสองฝ่าย ที่แย่กว่านั้น บางทีกลายเป็นทั้งสองฝ่ายกลับมาคุยกัน และโทษว่าตัวกลางอย่างเรานั่นแหละที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่เข้าใจกันเสียที... หรือเรียกง่ายๆ ว่าเรากลายเป็น "ตัวกัน" ไม่ใช่ "ตัวกลาง" ไปเสียอย่างนั้น ... ดังนั้น ก่อนจะรับอาสาเป็นตัวกลางในเ...

Post#3-344: Learning by doing

Post#3-344: Learning by doing ช่วงสายของวันนี้ เพื่อนผมส่งคำคมหนึ่งมาให้ทาง Line...อ่านแล้วก็ได้บทสรุปที่ดีมากๆ ว่า เราควรจะสอนงานยังไงให้ได้ผลที่ดีที่สุด เค้าว่าไว้ว่า... "Tell me and I'll forget. Show me and I may remember. Involve me and I learn." แปลได้ว่า "บอกข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าก็จะลืม. ทำให้ข้าพเจ้าเห็น ข้าพเจ้าก็อาจจะจำได้. ให้ข้าพเจ้าลงมือ ข้าพเจ้าจึงจะเรียนรู้ ผู้กล่าววาทะนี้ไว้ก็คือ Benjamin Franklin (นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลก ที่ทดลองเรื่องฟ้าผ่า นั่นล่ะครับ) ... ลองคิดตามดูครับ ว่า Franklin ว่าไว้นั้น น่าเชื่อตามหรือไม่? ผมลองยกตัวอย่างนี้ประกอบก็แล้วกันครับ... ใครที่ขับรถจะทราบดีว่า เวลาถามทางใครก็ตาม พอเค้าบอกมา เรามักจะจำไม่ค่อยได้, ต่อให้เค้าขับพาไป ครั้งต่อไปเราก็อาจจะยังหลง...ต่อเมื่อให้เค้านั่งข้างๆ แล้วเราขับไปให้ถึงที่เองนั่นแหละ เราจึงจะพอจำทางได้บ้าง คิดแล้วก็ช่างตรงกับที่ Franklin ว่าไว้อย่างมิผิดเพี้ยนเลย ว่ามั๊ยครับ? ... เอ! ว่าอันที่จริง ผมก็อยากจะสรุปว่า วาทะของ Franklin นั้น ก็คือเรื่องเดียวกับสุภาษิตไทยที่ว่า "...

Post#3-343: อย่ายึดติดกับหนทาง

Post#3-343: บ่ายวันนี้ ผมมีอันต้องนำเสนอ Corporate Roadmap ให้กับ Board of Directors ขององค์กรแห่งหนึ่ง ให้ทำการอนุมัติ เนื่องจากวาระของ Board นั้น เยอะมาก ผมจึงมีเวลานำเสนอเพียงแค่ 20 นาที... จึงนับเป็นครั้งหนึ่ง ที่ผมต้องพูดให้เร็วที่สุดในชีวิต และต้อง "รู้เรื่อง" ด้วย ^^ ... เมื่อจบการนำเสนอ, ผมก็ได้รับ comment สั้นๆ จากประธานฯ ว่า "ฟังดูดีนะ เหมือนมาเข้า course ปริญญาโท อีกครั้ง" เพิ่มข้อมูลอีกนิดนะครับ...ประธานฯ ที่ว่านี่ คือระดับอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงหนึ่ง แห่งประเทศสารขัณฑ์ เลยทีเดียว ฟัง comment ท่านจบ ผมก็ได้แต่ยิ้ม และไม่ได้ตอบโต้อะไรไป...แค่กลับออกมาด้วยความงงเล็กน้อยว่า ตกลงท่านชมว่า แผนที่ผมนำเสนอนั้น มีความเป็นขั้นเป็นตอนดี หรือตกลงท่านจะแขวะว่า ผมเป็นพวกวิชาการเกินไป กันแน่? ... ยังไงก็ตาม ผมเป็นพวกเชื่อมั่นในเรื่องการทำงานอย่างเป็นหลักการและเป็นขั้นเป็นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการวาง Roadmap ให้กับองค์กรที่เริ่มต้นจาก "ศูนย์" แบบนี้ ด้วยแล้ว...ผมไม่เชื่อว่า เราจะทำงานอะไรสำเร็จ เพียงอาศัยจากประสบการณ์ที่เคยมี มาได้ ...

Post#3-342: เมื่อหมาป่ามาเยือน

Post#3-342: ช่วงสี่ทุ่มกว่าๆ ถึงตีหนึ่งนิดๆ ของเมื่อคืนนี้ ผมหอบลูกจูงภรรยาไปปรากฏกายอยู่ที่ Hall 9 Impact Forum ที่เมืองทองธานี ใช่แล้วครับ ผมไปงานมหกรรมหนังสือ Big Bad Wolf Bangkok ที่จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 21 สิงหานี้ พวกผมตื่นเต้นมาก เพราะนอกจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติแล้ว ผมก็ไม่เคยเห็นที่ไหนที่มีหนังสือมากเท่านี้มาก่อน ผู้จัดงานบอกว่า นำเข้าหนังสือมาจำหน่ายประมาณ 2 ล้านเล่ม! อ่านไม่ผิดหรอกครับ 2 ล้านเล่ม...ซึ่งจริงมั๊ยผมก็ไม่ทราบ เพราะนับไม่ไหว ^^ ... หนังสือภาษาอังกฤษหลากหลายหมวด น่าจะเป็นหมื่นปก รอให้เราเลือกซื้อเลือกหา ในราคาลดจากปก มากถึง 60-80% น่าเสียดายที่พวกผมไปถึงดึกไปนิด เลยอยู่นานกว่านี้ไม่ได้ เพราะกลัวลูกสาวจะไม่ไหว...นี่ถ้าไปกับภรรยาแค่ 2 คน ผมมั่นใจว่า อยู่ถึงเช้าแน่ๆ ครับ เฉพาะศุกร์ถึงอาทิตย์ งานเปิดแบบมาราธอน คือศุกร์ 10 โมงเช้า ไปถึงอาทิตย์ 4 ทุ่ม, ส่วนวันธรรมดา ก็ 10 โมงเช้า ถึง 4 ทุ่ม ล่ะครับ ... งานมหกรรมหนังสือ Big Bad Wolf นี้ มีขึ้นครั้งแรกที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อ 7 ปีก่อน แล้วก็ขยายไปที่ประเทศอินโดนีเซีย และมาที่บ้านเราเป็นประเทศล...

Post#3-341: กระต่ายกับเต่า

Post#3-341: แม้จะมีนัดทานข้าวกับเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เจอกันมานาน ตอนเที่ยงวันนี้...แต่ผมก็ตื่นแต่เช้าเพราะความเคยชิน หลังจากทำกิจวัตรนั่น นู่น นี่ รวมถึงทานข้าวเช้าเสร็จ เห็นว่ายังเหลือเวลาอีกมาก ว่าแล้วผมก็เลยนั่งเล่นชิลล์ๆ...แต่คงเพราะหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน และปรากฏว่าเผลอหลับ โดยไม่ได้ตั้งเวลาปลุกไว้ สะดุ้งตื่นมาอีกทีตอนเกือบ 11 โมง แล้วก็ตาลีตาเหลือกเรียก Taxi เพื่อจะไปต่อ BTS เพื่อความรวดเร็ว เพราะไม่อยากไปสาย ขณะเกือบจะถึง BTS อยู่แล้ว...ไม่รู้อะไรสะกิดใจให้ผมนึกถึงกระเป๋าสตางค์...แล้วสังหรณ์ก็เป็นจริง...ลืมไว้ที่บ้าน ว่าแล้วผมก็บอกพี่ Taxi อย่างเขินๆ ว่า รบกวนพากลับบ้านทีครับ -"- ... บางครั้ง ชีวิตเราก็อาจจะเจอเหตุการณ์แบบนี้...แบบที่ประมาทเกินไปจนทำให้พลาดกับเรื่องง่ายๆ จำนิทานเรื่อง "กระต่ายกับเต่า" ที่เราต่างก็เคยได้ยินได้ฟังในวัยเยาว์ได้มั๊ยล่ะครับ นั่นล่ะครับ คือบทสรุปของเรื่องที่ผมเจอในเช้าวันนี้เลย การนิ่งนอนใจ ไม่เตรียมตัวเสียแต่เนิ่นๆ...ทำให้ลงท้ายด้วยการต้องทำอะไรแบบลกๆ และเร็วๆ จนนำไปสู่ความผิดพลาดแบบไม่น่าจะเป็น ... ผมคงไม่ต้องสาธ...

Post#3-340: Superhero ของลูก

Post#3-340: มื้อค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้พาแม่ยายออกมาทานข้าวฉลองวันแม่ พร้อมกับลูกสาวและภรรยา... แม่ยายผมเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาวๆ และกลายเป็น Single Mom ที่เลี้ยงลูกถึง 3 คน มาเพียงลำพัง โดยไม่ได้มีคู่ครองใหม่ เธอจึงเป็นหนึ่งในตัวอย่างของ Single Mom ที่ผมถือว่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังฮึดมากที่สุดในจักรวาล หรือถ้าจะสรุปว่า Single Mom เป็น species ที่ใกล้เคียงกับเหล่า Superhero ในจักรวาล Marvel ก็ไม่น่าจะผิด ^^ เนื่องเพราะ Single Mom นั้น มีพลังฮึดทางกายที่มากมาย และเหนือล้ำกว่านั้น คือมีพลังฮึดทางใจที่แข็งแกร่งที่สุด...ด้วยต้องทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน ... ว่าอันที่จริง Single Mom นั้น อาจจะถือเป็นหนึ่งในบททดสอบที่ยากที่สุดบทหนึ่งสำหรับ "มนุษย์แม่" เลี้ยงลูกไปพร้อมกับเลี้ยงชีพ แถมพ่วงด้วยต้อง (หล่อ) เลี้ยงใจ ของตัวเอง ให้พาทุกชีวิตไปสู่อนาคตข้างหน้าได้...ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาๆ จะทำได้ ดังนั้น แม้ว่าภรรยาของผมจะโชคร้ายที่ลืมตาดูโลกมาโดยที่ไม่มีโอกาสเจอพ่อ (เพราะท่านขึ้นสวรรค์ไปเสียก่อน) แต่ก็ต้องนับว่าเธอโชคดีที่สุดที่มีแม่ผู้เป็น Singl...

Post#3-339: ด้วยสองมือแม่นี้ที่สร้างโลก

Post#3-339: เที่ยงที่ผ่านมา...ผมมีโอกาสได้ไปทานข้าวกับแม่และน้องๆ เนื่องในโอกาสวันแม่ที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้ แม้ว่าน้องๆ ของผม, ตัวผมเอง และคนไทยทั้งประเทศ จะไม่ได้รักแม่แค่ในวันแม่...แต่ถ้ามีโอกาส ร้อยทั้งร้อยต่างก็อยากจะแสดงออกให้แม่รู้ว่าเรารักแม่ในวันแม่ โดยเฉพาะหนุ่มๆ ทั้งหนุ่มน้อยและหนุ่มเหลือน้อย...ต่างก็ได้ใช้วันแม่นี้ ในการบอกรักแม่หรือกอดแม่ได้โดยไม่ต้องเคอะเขินมากมายนัก ว่าอย่างนั้น ... ยังจำตอนเราเป็นเด็กตัวน้อยได้บ้างมั๊ยครับ? ที่นอนที่อบอุ่นที่สุดในโลก...ก็คือการได้นอนซบกับอกของแม่ ซึ่งแน่นอนที่สุดว่า นั่นคือที่นอนที่อบอุ่นและปลอดภัยที่สุดในโลก เครื่องดื่มที่ดีที่สุดในโลก...ก็คือน้ำนมแม่ที่ชุบเลี้ยงให้เราเติบใหญ่ด้วยคุณค่าอันเปี่ยมล้น และป้อนเราด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ใครคนหนึ่งในโลกจะคิดว่าเค้าได้รับ อาหารที่อร่อยที่สุดในโลก...ก็คือรสมือแม่ที่บรรจงปรุงแต่งอย่างตั้งใจ...คัดแต่สิ่งที่ดีที่สุด, ปรุงอย่างดีที่สุด และชูรสด้วยความรักที่สุด...ทั้งหมดเพื่อเรา ... ยังจำได้ใช่มั๊ยครับ? ยามเราเจ็บไข้ได้ป่วย...ใครที่คอยดูแล, ป้อนข้าว, ป้อนน้ำ, ป้อนยา ...

Post#3-338: แหล่งพลังของเหล่า Icon

Post#3-338: บ่ายนี้ผมได้รับเชิญไปร่วมงานเปิดตัวสินค้าใหม่ในหมวดสินค้า IT ตั้งแต่ Steve Jobs กลับมาทำงานที่ Apple อีกครั้ง...เค้าก็ได้สร้างมาตรฐานใหม่ของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในหมวดนี้ น่าเสียดายที่ไม่มีใครเลียนแบบ Jobs ได้...ไม่แม้กระทั่งใกล้เคียง แต่วิธีการนำเสนอในแบบของ Jobs ก็กลายเป็นภาพจำและสูตรสำเร็จที่ทุกๆ คนในวงการ IT ต่างก็ต้องเอาอย่าง...ไม่มากก็น้อย ... และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของบ่ายนี้ ก็ทำให้ผมคิดถึง Steve Jobs ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ นับจากเดือนตุลาคม ปี 2011 ที่ Jobs จากไป...ทั้ง Apple และวงการ IT ก็เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง...เหมือนๆ กับที่กอล์ฟนั้นขาดเสน่ห์ไปอย่างมากมาย เมื่อไม่มี Tiger Woods บุคคลผู้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวงการต่างๆ ล้วนเป็นบุคคลพิเศษที่เราต่างล้วนต้องลองศึกษาอัตตชีวประวัติของพวกเค้า ศึกษาให้รู้ถึงวิธีคิด และวิถีชีวิต...เป็นการศึกษาให้เห็นแนวทาง แต่ไม่ใช่ศึกษาเพื่อเลียนแบบ ... แล้วอะไรกันนะ ที่ทำให้คนธรรมดาคนหนึ่ง กลายมาเป็น Icon แห่งวงการใดๆ ได้? ผมเองก็ไม่อาจชี้ชัด...แต่ก็ขอสรุปตามการวิเคราะห์ของตัวเองว่า...บุคคลผู้จะกลายเป็น Icon อย่าง Jo...

Post#3-337: Maximization vs Optimization

Post#3-337: เที่ยงวานนี้ ผมมีโอกาสทานข้าวกับเจ้าของกิจการระดับหมื่นล้านท่านหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ คุณ T นะครับ) ซึ่งผมเคยทำงานด้วยมาก่อน เนื้อหาสาระของการพูดคุยก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า การมองหาความเป็นไปได้ของการทำ project ร่วมกัน อย่างที่ผมเคยแชร์ไว้ครับ...บางครั้งการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมองจากคนที่เหนือกว่าเรา ก็ช่วยให้เรามองอะไรๆ ได้กว้างขึ้น และไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป ... คุณ T เป็นหนึ่งในผู้มีวิสัยทัศน์และมีญาณทรรศนะที่น่าทึ่งมากท่านหนึ่ง เรียกว่าคุณ T มองเกมค่อนข้างขาดและประเมินความเปลี่ยนแปลงของอนาคตได้ดีในระดับหาตัวจับยาก เจ้าของที่สร้างตัวมาตั้งแต่อายุน้อยๆ มักจะมีพลังแบบนี้แฝงอยู่ในตัวค่อนข้างมาก...เรียกว่าสั่งสมประสบการณ์และตบะบารมีมาอย่างครบถ้วน ก็ว่าได้ครับ เมื่อจับรายละเอียดทุกอย่างมากับมือ ทำงานมาตั้งแต่ระดับปฏิบัติการจนมานั่งแท่นบริหาร...จึงทำให้รอบรู้ในงานเป็นอย่างดี ยิ่งเป็นคนใฝ่รู้อย่างคุณ T ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ประยุกต์เอาความรู้ใหม่ๆ มาต่อยอดจากประสบการณ์ที่มีอยู่ได้อย่างลงตัว ... สมัยผมร่วมงานกับคุณ T ก็ได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะ...

Post#3-336: As the future catches you...

Post#3-336: บ่ายแก่ๆ วันนี้ ผมได้รับเชิญไปประชุมกับบริษัทที่เชี่ยวชาญด้าน Customer Touchpoint ระดับโลก ต้องบอกว่า เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีต่างๆ นั้น เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จนบางครั้งผมก็จินตนาการไปไม่ถึง ในขณะที่เรากำลังทำความเข้าใจกับเทคโนโลยีปัจจุบัน...ใครบางคนบนโลกนี้ ก็กำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำยุคไปอีก 10 - 20 ปีข้างหน้าไปเรียบร้อยแล้ว ... ใครจะเคยคิดว่า วันหนึ่งเครื่องพิมพ์ดีดจะกลายเป็นสิ่งล้าหลัง, ใครจะเคยคิดว่า โทรเลข จะมีวันต้องหยุดให้บริการ, ใครจะเคยคิดว่า กล้องฟิล์มจะกลายเป็นสิ่งคร่ำครึ หรือใครจะคิดว่าโทรศัพท์บ้าน แทบจะกลายเป็นของประดับ, ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นผลมาจาก การปฏิวัติเทคโนโลยีทั้งสิ้น...และใครที่ยังนอนใจกับความไฮเทคฯ ของตัวเอง อาจต้องร้องไห้ในอีกไม่กี่ปีที่จะมาถึง อายุของสินค้าเทคโนโลยีมีแต่จะสั้นลงและสั้นลง...ไม่ใช่อายุการใช้งานนะครับ หากแต่เป็นอายุของเทคโนโลยีที่ใช้กับสินค้าต่างๆ ต่างหาก ... ผมเคยอ่านหนังสือเรื่อง "เมื่ออนาคตไล่ล่าคุณ" (หรือชื่ออังกฤษ "As The Future Catches You" เขียนโดย Juan Enriquez) มานานมากแล้วครับ (ไม่น่าต่ำกว่...

Post#3-335: Pokemon Go

Post#3-335: ช่วงนี้ไปไหนต่อไหนก็เจอคนจับ Pokemon...สังเกตได้จาก News Feed บน Facebook ที่เหล่า Pokemon Trainer ต่างก็นำมา share ผมเองก็เล่นอยู่เช่นกัน ด้วยความอยากรู้ว่า ทำไมเกมนี้มันถึงฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง และทั่วโลก ได้ขนาดนี้ เมื่อวานนี้ น่าจะเป็นวันแรกที่ชาวไทยได้เล่น...และผมก็เห็นหลายๆ คน เดินก้มๆ เงยๆ ถือโทรศัพท์ส่องนั่น นู่น นี่...ดูแล้วทั้งวุ่นวายและสนุกสนานไปพร้อมๆ กัน ... ปรากฏการณ์ Pokemon นี้ แรงไม่แรงก็ต้องลองคิดตามดูครับ เพราะมีข้อมูลบอกว่า มีการเติมเงินประมาณวันละ 10 ล้านเหรียญต่อวัน (ทั่วโลก)...ซึ่งถ้าจริง ก็ต้องบอกว่า มันน่าจะเป็นเกมที่ประสบความสำเร็จสุดๆ จริงๆ ความน่าสนใจของเกม อยู่ที่ Virtual World กับ Real World นั้น มาทับซ้อนกัน และเมื่อมารวมกับความเข้าใจได้ง่ายของเกม พร้อมๆ กับผนวกเอาประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของ Pokemon เข้ามาด้วยแล้ว...ก็เป็นส่วนผสมที่กลมกล่อมและลงตัว ให้ผู้คนทั่วโลก สนุกกับมันได้ไม่ยาก ผมใช้เวลาแค่ 3 นาที ในการอธิบายเกมให้ลูกสาวเข้าใจ...และตอนนี้เธอก็กลายเป็น Pokemon Trainer ไปเรียบร้อยแล้ว เกมสนุกและเล่นง่าย...แน่นอนว่าผมก็เสียเง...

Post#3-334: วงจรแห่งความอ้วน

Post#3-334: ผมมีเพื่อนและลูกน้องที่เป็นผู้หญิงอยู่ค่อนข้างมาก...นับจำนวนดูแล้ว ไม่รู้ว่าผู้ชายที่ทำงาน office ทำไมมีน้อยเหลือเกินก็ไม่ทราบ หนึ่งในปัญหาของคนทำงาน office คงหนีไม่พ้นเรื่อง Office Syndrome ที่ถือเป็นเรื่องไม่เล็กเลย นั่งทำงานนานๆ, ตาก็จ้องจอคอมฯ, มือก็จิ้มคีย์บอร์ด และทำอะไรอีกหลายๆ อย่าง ที่ส่วนมากเป็นงานที่ไม่ค่อยได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ที่สำคัญ ชาว office ทั้งหลาย มักมีนิสัยกินจุบกินจิบ ทั้งพวกขนมขบเคี้ยว, ขนมหาบเร่ และเครื่องดื่มจำพวกชาหรือกาแฟที่ชงขายกันทุกหัวถนน เรียกว่านอกจากลักษณะของงานก็ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพแล้ว ยังมีแรงบวกพวกพฤติกรรมการกินเข้ามาซ้ำเติมอีก ผมได้ยินสาวๆ บ่นว่า "อ้วนๆ" อยู่แทบจะทุกวัน งั้นวันนี้ก็ขอชวนคุยเรื่องนี้สักหน่อย ก็แล้วกันนะครับ ... ภาวะอ้วน จึงถือเป็นภาวะประจำของสาวๆ office ทั้งหลาย...และแทบทุกคนที่บ่นว่าอ้วน ล้วนแล้วแต่มีพฤติกรรมการกินที่ไม่ค่อยถูกต้อง อย่างที่ว่า ไม่ใช่ว่าจะจ้องโจมตีสาวๆ นะครับ แต่ผู้ชายทั้งหลายไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องความอ้วนสักเท่าไหร่ หรืออาจจะมีความเชื่อว่า "ลูกผู้ชายต้องไว้พุง" ก็ไม่...

Post#3-333: Brand Building

Post#3-333: ช่วงบ่ายที่ผ่านมา ผมไปประชุมกับลูกค้าเกี่ยวกับเรื่อง Brand Building ของสินค้าที่เธอปั้นขึ้นมากับมือ เราเริ่มต้นกันด้วย การให้เธอเล่าเรื่องการกำเนิดขึ้นของ Brand เพื่อให้ผมได้รู้ที่มาที่ไปอย่างชัดเจนก่อน ผมชอบฟังเรื่องราวของกำเนิด Brand โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้ฟังจากเจ้าของนั้น จะทำให้เราได้ฟังเรื่องราวของ Brand ในมิติที่ลึกขึ้น...ทั้งในมุมของ Product, Design, Touch Point และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Passion ... Brand นั้น ไม่ต่างจากสิ่งทีชีวิต ดังนั้น Passion ที่เจ้าของบรรจงใส่ลงไปใน Brand นั้นเอง จึงเป็นการใส่ชีวิตลงไปให้ Brand เกิดการสั่นไหว...เมื่อสร้างความสั่นไหวได้ ก็จะทำให้ลูกค้าเกิดความสนใจได้ แปลว่า Brand ที่ขาด Passion ไป จึงไม่ได้แตกต่างไปจากรูปปั้นที่ไร้วิญญาณ...นั่นคือ ไม่ว่าจะเสกสรรปั้นแต่งรูปปั้นให้งดงามยังไงก็แล้วแต่...เมื่อขาดวิญญาณก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ เป็นแค่ความสวยที่ไร้เสน่ห์ Brand กลายเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักของการเชื่อมโยงลูกค้าเข้ากับสินค้า...เพราะเรื่องราวของ Brand จะเป็นตัวบอกลูกค้าว่า Brand นั้นๆ เหมาะกับตัวเค้า หรือตัวเค้าเหมาะกับ Brand นั้นๆ หร...

Post#3-332: Organization Chart

Post#3-332: เที่ยงที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้หารือถึงเรื่องผังโครงสร้างองค์กร กับผู้บริหารของบริษัทมหาชนแห่งหนี่ง หลังจากกำหนดวิสัยทัศน์และพันธกิจขององค์กร ซึ่งถือเป็นเป้าหมายแล้ว...ถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องกำหนดผังองค์กรเพื่อให้ตอบโจทย์เป้าหมายให้ได้ บ่อยครั้งที่งานไม่คืบหน้า เพราะการกำหนดและจัดสรรผังองค์กรที่ไม่มีประสิทธิภาพ หรือกำหนดตัวผู้รับผิดชอบไม่เหมาะสม เรียกว่า "ผิดตั้งแต่รากฐาน" เลย...ว่าอย่างนั้น ลองนึกภาพตามดูครับ ว่าถ้าฐานรากไม่แข็งแกร่งพอ...เราจะสามารถสร้างตึกสูงๆ (หรือองค์กรที่แข็งแรง) ได้ยังไง? ... ยิ่งโดยเฉพาะบริษัทมหาชนนั้น มักจะนิยมใช้กลยุทธ์ควบรวมกิจการ เพื่อการเติบโต ยิ่งจำต้องวางผังองค์กรให้เหมาะสม ฝ่ายไหนต้องแยกการบริหารและจัดการให้เป็นอิสระต่อกัน และฝ่ายไหนต้องใช้การบริหารแบบรวมศูนย์ ไม่ใช่ฝ่ายที่ควรแยกกัน ดันเอาไปรวมกันจนเกิดความอุ้ยอ้าย แต่ฝ่ายที่ควรรวมกัน ดันไปตั้งเป็นฝ่ายในแต่ละบริษัทย่อย ก็เลยกลายเป็นค่าใช้จ่ายบานโดยใช่เหตุ นี่เองเป็นเหตุให้ศักยภาพในการสร้างยอดขายและควบคุมค่าใช้จ่าย มีปัญหา ... ไม่ใช่แค่บริษัทมหาชน ที่จะต้องใส่...

Post#3-331: ปัจจัย X

Post#3-331: ส่วนใหญ่ของคนไทยเรา ต่างก็เชื่อในเรื่องของพรหมลิขิตหรือโชคชะตา...เมื่อใดก็ตามที่หาเหตุผลที่เข้าท่าไม่ได้ ก็มักจะโยนให้เป็นเรื่องของฟ้ากำหนดอยู่ร่ำไป จะว่าไปแล้ว บางครั้งเราก็ไม่สามารถจะอธิบายได้ชัดๆ ว่า ทำไมคนเราเกิดมาต่างกัน, ทำไมทำดีแล้วไม่ค่อยได้ดี, ทำไมบางคนโชคดีอย่างเหลือเชื่อ หรือโชคร้ายอย่างเหลือแสน, ฯลฯ เอาเป็นว่า ในเมื่อยังไม่สามารถพิสูจน์ในแบบวิทยาศาสตร์ได้ ก็ถือเสียว่า มันเป็นผลมาจากปัจจัยตัวหนึ่ง ซึ่งเราแทนค่าว่า "X" ก็แล้วกันนะครับ ส่วน "X" จะแปลว่า พรหมลิขิต, โชคชะตา, กรรม หรืออะไรอย่างอื่น ก็สุดแท้แต่ความเชื่อของแต่ละคนก็แล้วกันครับ ... บางครั้ง การที่เราได้พบปะพูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์กับใครคนอื่น ก็อาจจะเป็นผลมาจากปัจจัย X นี้ ด้วยเหมือนกัน ลองดูวาทะนี้ครับ "We don't meet people by accident. They are meant to cross our path for a reason." แปลว่า "เรามิได้พบกับใครคนหนึ่งโดยบังเอิญแน่ๆ พวกเค้าต่างโคจรมาพบเราด้วยเหตุผลบางอย่าง" นั่นไง...ไม่ใช่แค่เราชาวเอเชียเท่านั้นที่เชื่อเรื่องปัจจัย X แต่ชาวฝรั่งอ...

Post#3-330: From Zero to Hero

Post#3-330: "ทำไมชีวิตฉันต้องมาเจออะไรแย่ๆ แบบนี้ด้วย?" ผมเชื่อว่า หลายๆ คนคงเคยตั้งคำถามแบบนี้ หรือไม่ก็รำพึงรำพันแบบนี้กับตัวเองอยู่บ้าง บททดสอบความแข็งแกร่งของคนเรา...บางครั้งมันก็หนักหนาสาหัสจนแทบจะน้ำเน่ากว่าละครเสียด้วยซ้ำ และผมก็ไม่มีคำแนะนำหรือคำปลอบใจอะไรที่จะดีกว่า "อดทน" และ "สู้ๆ" เพราะแม้มันจะไม่ช่วยให้ชีวิตหายขมขื่น แต่มันก็คือคำที่สะท้อนความจริง...หากว่าเรายังอยากมีพรุ่งนี้ให้ตื่นขึ้น ... แต่รู้อะไรมั๊ยครับ...ว่าบางครั้งเรื่องราวที่เราคิดว่าเลวร้าย มันอาจจะเป็นแค่ช่วงเริ่มต้นเท่านั้น หากผ่านมันไปได้ เราก็อาจจะเจอเรื่องดีๆ รออยู่...เหมือนที่โบราณท่านว่า "ต้นร้ายปลายดี" นั่นไงครับ หรือบางครั้งเราก็อาจจะแค่กำลังเผชิญกับฤดูฝนที่อาจจะยาวนานไปสักหน่อย...แต่ฟ้าหลังฝนนั้น สวยงามเสมอครับ ขอเพียงอดทน และแข็งใจเดินฝ่าฝนไปให้ได้เท่านั้นเอง ผมคงห้ามไม่ได้...หากใครจะคิดว่า นี่เป็นเพียงประโยคปลอบใจที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นจริง แต่บางครั้ง "ปาฏิหาริย์" ก็อาจเกิดขึ้นกับคนที่มีศรัทธาและไม่ยอมแพ้ นะครับ ... ฝรั่งเองก็ว่าไว้ว่...

Post#3-329: จงเริ่มต้นด้วยการ "คิดดี"

Post#3-329: เมื่อเช้านี้ ผมมีโอกาสได้เข้าพบผู้บริหารท่านหนึ่ง ซึ่งท่านเป็นเจ้าของและผู้บริหารองค์กรใหญ่ระดับประเทศ (สมมติว่าชื่อ คุณ B นะครับ) ซึ่งผมเคารพท่านเป็นอาจารย์ทั้งทางโลกและทางธรรม เนื่องจากท่านไม่ชอบให้ใครเรียกว่า "ท่าน" แต่ชอบให้เรียกว่า "พี่" (แม้ว่าท่านจะถึงพร้อมด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างครบถ้วน ก็ตาม) ดังนั้น ในการเล่าเรื่องครั้งนี้ ผมก็จะแทนตัวท่านว่า "พี่" ก็แล้วกันนะครับ แม้จะใช้เวลาสนทนากับ พี่ B เพียงแค่ 50 นาที แต่ผมกลับออกมาด้วยความรู้สึกเหมือนได้เข้าห้องกาลเวลา ที่ได้เรียนรู้แบบรวบย่อ ถึงวิธีคิด, วิธีพูด และวิธีปฏิบัติ ที่เป็นการยกระดับตัวเราได้ดีเป็นอย่างยิ่ง ... ว่ากันตามจริงแล้ว พี่ B ให้ความกรุณาและเอ็นดูต่อบริษัทของผมและตัวผมมาโดยตลอด เรียกว่าอะไรที่พี่ B ช่วยได้ (โดยไม่ทำให้ใครเสียประโยชน์) พี่ B ก็ไม่เคยดูดาย ความกรุณาของพี่ B นั้น ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่พี่ B เป็นเหมือน "ไม้ใหญ่" ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงากับทุกชีวิตที่เข้ามาข้องเกี่ยว ก่อนหน้านี้ พี่ B ก็สอนผมเสมอใ...

Post#3-328: อีกแง่มุมระหว่าง ผู้ชนะ vs ผู้แพ้

Post#3-328: ว่าอันที่จริง เราก็คุยกันบ่อยอยู่เหมือนกันนะครับ เกี่ยวกับเรื่องของ "ผู้ชนะ" กับ "ผู้แพ้" บ่ายแก่ๆ วันนี้ ก็มีเพื่อนของผม forward ข้อความต่อไปนี้มาให้...ผมเห็นว่าให้ข้อคิดที่ดี เลยขอนำมาฝากกันต่อครับ แม้ว่า มันจะไม่ใช่สูตรสำเร็จแบบตายตัว และยิ่งแน่นอนว่า นี่ไม่ใช่การการันตีว่า ทุกคนที่ทำตามนี้จะเป็นผู้ชนะเสมอไป หรือเป็นผู้แพ้ตลอดกาล...แต่ผมก็อยากให้ลองคิดตามดูครับ ... เค้าว่าไว้แบบนี้ครับ... Winners: Say "It may be difficult, but it's possible." ผู้ชนะ: พูดว่า "มันอาจจะยากนะ, แต่มันก็น่าจะเป็นไปได้" Losers: Say "It may be possible, but it's too difficult." ผู้แพ้: พูดว่า "มันอาจจะเป็นไปได้นะ, แต่มันน่าจะยากเกินไป" Winners: See the gain ผู้ชนะ: เห็นว่าทำแล้วจะได้อะไร Losers: See the pain ผู้แพ้: เห็นว่าทำแล้วจะเสียอะไรบ้าง Winners: See possibilities ผู้ชนะ: เห็นโอกาส Losers: See problems ผู้แพ้: เห็นอุปสรรค Winners: Make it happen. ผู้ชนะ: ลงมือทำให้มันเกิดขึ้น Losers: Let it hap...