Skip to main content

Post#3-333: Brand Building

Post#3-333:
ช่วงบ่ายที่ผ่านมา ผมไปประชุมกับลูกค้าเกี่ยวกับเรื่อง Brand Building ของสินค้าที่เธอปั้นขึ้นมากับมือ

เราเริ่มต้นกันด้วย การให้เธอเล่าเรื่องการกำเนิดขึ้นของ Brand เพื่อให้ผมได้รู้ที่มาที่ไปอย่างชัดเจนก่อน

ผมชอบฟังเรื่องราวของกำเนิด Brand โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้ฟังจากเจ้าของนั้น จะทำให้เราได้ฟังเรื่องราวของ Brand ในมิติที่ลึกขึ้น...ทั้งในมุมของ Product, Design, Touch Point และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Passion

...

Brand นั้น ไม่ต่างจากสิ่งทีชีวิต ดังนั้น Passion ที่เจ้าของบรรจงใส่ลงไปใน Brand นั้นเอง จึงเป็นการใส่ชีวิตลงไปให้ Brand เกิดการสั่นไหว...เมื่อสร้างความสั่นไหวได้ ก็จะทำให้ลูกค้าเกิดความสนใจได้

แปลว่า Brand ที่ขาด Passion ไป จึงไม่ได้แตกต่างไปจากรูปปั้นที่ไร้วิญญาณ...นั่นคือ ไม่ว่าจะเสกสรรปั้นแต่งรูปปั้นให้งดงามยังไงก็แล้วแต่...เมื่อขาดวิญญาณก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ เป็นแค่ความสวยที่ไร้เสน่ห์

Brand กลายเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักของการเชื่อมโยงลูกค้าเข้ากับสินค้า...เพราะเรื่องราวของ Brand จะเป็นตัวบอกลูกค้าว่า Brand นั้นๆ เหมาะกับตัวเค้า หรือตัวเค้าเหมาะกับ Brand นั้นๆ หรือไม่

...

การแค่คิดชื่อสินค้าขึ้นมา แล้วก็แค่แปะลงบนสินค้า ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการเข้าใจผิดและมักง่ายอย่างแรงในการสร้าง Brand

การคิดชื่อสินค้าเป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง Brand แต่ไม่ใช่เส้นชัยของการสร้าง Brand

การตั้งราคาสินค้า ก็ไม่ใช่การกำหนดจุดยืนของ Brand...มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น และต้องอย่าเข้าใจผิดว่า Brand ที่ดี ต้องแพงอย่างบ้าเลือด

ฯลฯ

...

Brand คือเรื่องราวของความเชื่อมโยงหลายสิ่งหลายอย่างเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว...เสมือนกับที่เราจะนึกถึงใครสักคนหนึ่ง

เวลานึกถึงใครที่ว่า เราจะนึกถึงหน้าตา, บุคลิกลักษณะ, นิสัยใจคอ รวมไปจนถึงการแต่งกาย...ซึ่งเวลานึกถึง Brand ก็ไม่ต่างกันครับ

แปลว่า Brand ก็คือองค์รวม...คือคนๆ หนึ่งนั่นเอง

...

ถ้าเราวัดระดับของคนจากความรวย เราก็จะวัดระดับของ Brand จากราคา

แต่ระดับที่แท้จริงของคน ไม่ได้อยู่ที่รวยเท่าไหร่ หากแต่เป็นดีหรือไม่...ระดับที่แท้จริงของ Brand จึงอยู่ที่มีคุณค่าเท่าไหร่ ไม่ใช่มีราคาเท่าไหร่

...เมื่อสร้าง "คุณค่า" ของ Brand ได้ จึงทำให้ Brand มี "มูลค่า"...และเมื่อ Brand มีมูลค่า จึงทำให้เราเป็นผู้กำหนด "ราคา"...

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...