Post#3-329:
เมื่อเช้านี้ ผมมีโอกาสได้เข้าพบผู้บริหารท่านหนึ่ง ซึ่งท่านเป็นเจ้าของและผู้บริหารองค์กรใหญ่ระดับประเทศ (สมมติว่าชื่อ คุณ B นะครับ) ซึ่งผมเคารพท่านเป็นอาจารย์ทั้งทางโลกและทางธรรม
เนื่องจากท่านไม่ชอบให้ใครเรียกว่า "ท่าน" แต่ชอบให้เรียกว่า "พี่" (แม้ว่าท่านจะถึงพร้อมด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างครบถ้วน ก็ตาม) ดังนั้น ในการเล่าเรื่องครั้งนี้ ผมก็จะแทนตัวท่านว่า "พี่" ก็แล้วกันนะครับ
แม้จะใช้เวลาสนทนากับ พี่ B เพียงแค่ 50 นาที แต่ผมกลับออกมาด้วยความรู้สึกเหมือนได้เข้าห้องกาลเวลา ที่ได้เรียนรู้แบบรวบย่อ ถึงวิธีคิด, วิธีพูด และวิธีปฏิบัติ ที่เป็นการยกระดับตัวเราได้ดีเป็นอย่างยิ่ง
...
ว่ากันตามจริงแล้ว พี่ B ให้ความกรุณาและเอ็นดูต่อบริษัทของผมและตัวผมมาโดยตลอด เรียกว่าอะไรที่พี่ B ช่วยได้ (โดยไม่ทำให้ใครเสียประโยชน์) พี่ B ก็ไม่เคยดูดาย
ความกรุณาของพี่ B นั้น ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่พี่ B เป็นเหมือน "ไม้ใหญ่" ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงากับทุกชีวิตที่เข้ามาข้องเกี่ยว
ก่อนหน้านี้ พี่ B ก็สอนผมเสมอให้ เป็นคน "คิดแต่ดี" ไม่ใช่ "ดีแต่คิด"
...
ช่วงนี้ผมได้รับโอกาสจากพี่ B ให้ทำงานร่วมกันระหว่างบริษัท
แน่นอนว่า ระดับพี่ B คงไม่มีเวลามาลงรายละเอียดของงาน ผมจึงต้องทำงานกับทีมของพี่ B แทน
และเช้านี้ ผมมีเรื่องต้องไปรายงานถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริษัทของผม ให้พี่ B ได้รับทราบ
ต่อจากนั้น ผมก็รายงานความคืบหน้าของงานที่ทำร่วมกับทีมงาน รวมถึงได้รายงานปัญหาและอุปสรรคให้พี่ B รับฟัง
...
หนึ่งในประเด็นที่ผมรายงานพี่ B ก็คือ ผมคิดว่าทีมงานยังทำงานได้ล่าช้า แต่ทันทีนั้นพี่ B ก็ให้สติว่า "ก่อนที่จะมองว่าคนอื่นทำงานช้า ลองถามตัวเองก่อนหรือไม่ ว่าคุณเองล่ะ ใจร้อนเกินไปรึเปล่า?"
ทันทีที่พี่ B พูดจบ ผมรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า, แม้จะเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าต้องรู้จัก "ชี้เข้า" ไม่ใช่ "ชี้ออก"...แต่ดูเหมือนมิจฉาทิฐิจะทำให้ผม "หลง" อย่างไม่น่าจะเป็น
พี่ B เสริมว่า เรื่องของใครทำงานช้าหรือเร็ว เป็นเรื่อง subjective, มองจากมุมเรา ก็ว่าเค้าช้า แต่มองจากมุมเค้า ก็อาจจะเป็นเราใจร้อนเกินไป
พี่ B ไม่ได้เข้าข้างทีมงาน และในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้ต่อว่าผม...พี่ B เพียงแค่ให้สติ...เป็นการสะกิดให้ผมคิดและทบทวน
ผลลัพธ์ที่ได้ คือเหมือนผมได้ส่องกระจก ได้เพ่งให้เห็นมิจฉาอารมณ์ของตัวเอง และได้สติโดยฉับพลัน
...
เรื่องต่อมาที่ผมได้เรียนรู้ก็คือ พี่ B แนะทางสว่างให้ว่า "เราควรถามตัวเอง ว่าจะทำยังไง ให้คนอื่นชอบพอ, เอ็นดู และอยากจะทำงานให้เรา, มันเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องคิดหาวิธี"
ถึงตรงนี้ พี่ B ก็มีกุศโลบายในการยกตัวอย่างให้ผมเห็นภาพ โดยเล่าว่า
"คุณรู้มั๊ย ว่าคนไทยแพ้คำว่าอะไร?"
ผมตอบไม่ได้ พี่ B จึงเฉลยว่า
"คนไทย แพ้คำว่า "ขอ" เพราะโดยธรรมชาติแล้ว คนไทยมีเมตตาและขี้เกรงใจ ดังนั้น ถ้าเรารู้จักธรรมชาติข้อนี้ บวกกับกาละและเทศะ และความฉลาดในการเจรจา เราก็จะพิชิตใจพวกเค้าได้"
ไม่ใช่แค่ยกตัวอย่างของคนไทยเท่านั้น พี่ B ยังเพิ่มความรู้ให้ผมต่อ โดยถามว่า
"แล้วคุณรู้มั๊ย ว่าฝรั่งแพ้คำว่าอะไร?"
ผมตอบไปโดยไม่ทันคิดว่า "ไม่ทราบครับ"
พี่ B ยิ้มแล้วบอกว่า "คุณต้องรู้จักฝึกคิด ไม่ใช่ตอบโดยไม่คิด"
ผมได้แต่อึ้ง เพราะเป็นอย่างที่พี่ B ว่าจริงๆ ทั้งที่ปกติผมจะคิดก่อนตอบ แต่พออยู่ต่อหน้าพี่ B แล้ว ผมกลับกำกับสติตัวเองได้ไม่ดีพอ
พี่ B เล่าต่อว่า "ฝรั่งแพ้คำว่า "Fair" ดังนั้น ถ้าคุณทำให้เค้ารู้สึกว่า เค้ากำลังไม่ fair กับคุณ ก็จะทำให้คุณมีโอกาสชนะใจเค้าได้ แต่คุณก็ต้องมีวิธีการที่ดี ไม่ใช่จู่ๆ ไปต่อว่าเค้าว่าไม่ fair นะ ต้องรู้จักฉลาดพูด"
พี่ B ถามผมต่ออีก "แล้วคนญี่ปุ่นล่ะ แพ้คำว่าอะไร?"
คราวนี้ผมนิ่งคิดไปพักนึง แต่ก็คิดไม่ออกอยู่ดี...สุดท้ายพี่ B ก็เลยเฉลยว่า
"คนญี่ปุ่น แพ้คำว่า "ขอบคุณ" ถ้าคุณรู้จักคุยกับเค้าบ่อยๆ รู้จักขอบคุณเค้าในเรื่องต่างๆ...ก็จะทำให้เค้าเกิดความเอ็นดู และนั่นจะนำไปสู่การเจรจาต่อรองที่ง่ายขึ้น"
เป็นไงครับ...อึ้งและทึ่งเหมือนผมมั๊ยครับ กับองค์ความรู้และวิธีคิดที่พี่ B แนะนำ?
ยังไม่หมดครับ...ผมขอเล่าต่อ
...
ด้วยความห่วงใย พี่ B ก็ถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องการวางแผนจัดการเรื่องการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่อง Credit Term กับคู่ค้า
ผมก็เล่าให้พี่ B ฟัง ว่าคู่ค้ามีเงื่อนไขยังไง จ่ายเงินเมื่อไหร่...คงเหมือนผมแสดงสีหน้าเหนื่อยหน่าย พี่ B ก็เลยให้สติต่อไปว่า
"อย่าไปคิดว่า Credit Term เป็นแบบนี้ ก็ต้องเป็นแบบนี้ไปตลอด คุณต้องรู้จักหมั่นไปคุยไปปรึกษากับคู่ค้า คุยทั้งจากระดับล่างและระดับบนไปพร้อมๆ กัน"
"ไม่ใช่มัวแต่จะต่อว่าคู่ค้าหรือมัวสมเพชตัวเอง ว่าเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ หรือทำอะไรไม่ได้ คุณต้องรู้จักดิ้นรนหาวิธี" พี่ B ขยายความต่อ
...
จากสิ่งที่พี่ B แนะแนว, รู้สึกเหมือนผมมั๊ยครับ ว่าพี่ B บรรลุสัจธรรมบางอย่าง และกลายเป็นธรรมชาติในตัวเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ปัญญาวิเคราะห์หาที่มาที่ไป และคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล รวมไปถึงการเตรียมตัวเองให้ถึงพร้อมอยู่เสมอกับการเปลี่ยนแปลง
ยาวหน่อยนะครับ แต่ยังไม่จบ
...
ตอนหนึ่งของการสนทนา พี่ B ถามผมว่า "คุณรู้มั๊ย คำว่า "ปัญญา" แปลว่าอะไร?"
ผมคิดอยู่ครู่เดียว ก็ตอบพี่ B ว่า "ปัญญาก็คือ Wisdom ครับ"
พี่ B ตอบผมแบบเอ็นดูว่า "นั่นมันคำแปล ผมถามความหมาย"
ผมตอบว่า "ปัญญาคือการรู้จักการนำความรู้ที่มีมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ครับ"
พี่ B ยิ้มน้อยๆ แล้วตอบว่า "เกือบถูก...ปัญญา คือ การนำความรู้ที่ดีมาประยุกต์ใช้...ไม่ใช่แค่ความรู้ แต่ต้องเป็นความรู้ที่ดี จึงจะนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดเรื่องดีๆ และสิ่งดีๆ กับตัวเราและคนรอบข้างได้ด้วย"
...
ทั้งหมดที่ผมเล่ามา เป็นแค่ "ส่วนหนึ่ง" เท่านั้นนะครับ ที่ผมได้เรียนรู้จากพี่ B เพราะถ้าให้ผมเล่าเต็มๆ คงได้ทำสถิติ Longest Post แน่ๆ ครับ
มาถึงบรรทัดนี้...ผมก็หวังว่า ข้อคิดดีๆ ที่พี่ B กรุณาแนะแนวมา จะได้ถูกนำไปคิดต่อยอดและเป็นประโยชน์ให้กับท่านอื่นๆ ต่อไป
ส่วนผม นอกจากจะนำไปคิดต่อยอดแล้ว จะนำไปปฏิบัติให้เกิดผลด้วยครับ เพราะผมเชื่อว่า นั่นจะเป็นการตอบแทนความกรุณาของพี่ B ได้ตรงเจตนารมย์ของพี่ B ที่สุดแล้วครับ
...ทุกอย่างเริ่มจาก "คิดดี" อย่างที่พี่ B พร่ำบอกเสมอมาจริงๆ ครับ...ผมเชื่ออย่างนั้น...
เมื่อเช้านี้ ผมมีโอกาสได้เข้าพบผู้บริหารท่านหนึ่ง ซึ่งท่านเป็นเจ้าของและผู้บริหารองค์กรใหญ่ระดับประเทศ (สมมติว่าชื่อ คุณ B นะครับ) ซึ่งผมเคารพท่านเป็นอาจารย์ทั้งทางโลกและทางธรรม
เนื่องจากท่านไม่ชอบให้ใครเรียกว่า "ท่าน" แต่ชอบให้เรียกว่า "พี่" (แม้ว่าท่านจะถึงพร้อมด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างครบถ้วน ก็ตาม) ดังนั้น ในการเล่าเรื่องครั้งนี้ ผมก็จะแทนตัวท่านว่า "พี่" ก็แล้วกันนะครับ
แม้จะใช้เวลาสนทนากับ พี่ B เพียงแค่ 50 นาที แต่ผมกลับออกมาด้วยความรู้สึกเหมือนได้เข้าห้องกาลเวลา ที่ได้เรียนรู้แบบรวบย่อ ถึงวิธีคิด, วิธีพูด และวิธีปฏิบัติ ที่เป็นการยกระดับตัวเราได้ดีเป็นอย่างยิ่ง
...
ว่ากันตามจริงแล้ว พี่ B ให้ความกรุณาและเอ็นดูต่อบริษัทของผมและตัวผมมาโดยตลอด เรียกว่าอะไรที่พี่ B ช่วยได้ (โดยไม่ทำให้ใครเสียประโยชน์) พี่ B ก็ไม่เคยดูดาย
ความกรุณาของพี่ B นั้น ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่พี่ B เป็นเหมือน "ไม้ใหญ่" ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงากับทุกชีวิตที่เข้ามาข้องเกี่ยว
ก่อนหน้านี้ พี่ B ก็สอนผมเสมอให้ เป็นคน "คิดแต่ดี" ไม่ใช่ "ดีแต่คิด"
...
ช่วงนี้ผมได้รับโอกาสจากพี่ B ให้ทำงานร่วมกันระหว่างบริษัท
แน่นอนว่า ระดับพี่ B คงไม่มีเวลามาลงรายละเอียดของงาน ผมจึงต้องทำงานกับทีมของพี่ B แทน
และเช้านี้ ผมมีเรื่องต้องไปรายงานถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริษัทของผม ให้พี่ B ได้รับทราบ
ต่อจากนั้น ผมก็รายงานความคืบหน้าของงานที่ทำร่วมกับทีมงาน รวมถึงได้รายงานปัญหาและอุปสรรคให้พี่ B รับฟัง
...
หนึ่งในประเด็นที่ผมรายงานพี่ B ก็คือ ผมคิดว่าทีมงานยังทำงานได้ล่าช้า แต่ทันทีนั้นพี่ B ก็ให้สติว่า "ก่อนที่จะมองว่าคนอื่นทำงานช้า ลองถามตัวเองก่อนหรือไม่ ว่าคุณเองล่ะ ใจร้อนเกินไปรึเปล่า?"
ทันทีที่พี่ B พูดจบ ผมรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า, แม้จะเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าต้องรู้จัก "ชี้เข้า" ไม่ใช่ "ชี้ออก"...แต่ดูเหมือนมิจฉาทิฐิจะทำให้ผม "หลง" อย่างไม่น่าจะเป็น
พี่ B เสริมว่า เรื่องของใครทำงานช้าหรือเร็ว เป็นเรื่อง subjective, มองจากมุมเรา ก็ว่าเค้าช้า แต่มองจากมุมเค้า ก็อาจจะเป็นเราใจร้อนเกินไป
พี่ B ไม่ได้เข้าข้างทีมงาน และในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้ต่อว่าผม...พี่ B เพียงแค่ให้สติ...เป็นการสะกิดให้ผมคิดและทบทวน
ผลลัพธ์ที่ได้ คือเหมือนผมได้ส่องกระจก ได้เพ่งให้เห็นมิจฉาอารมณ์ของตัวเอง และได้สติโดยฉับพลัน
...
เรื่องต่อมาที่ผมได้เรียนรู้ก็คือ พี่ B แนะทางสว่างให้ว่า "เราควรถามตัวเอง ว่าจะทำยังไง ให้คนอื่นชอบพอ, เอ็นดู และอยากจะทำงานให้เรา, มันเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องคิดหาวิธี"
ถึงตรงนี้ พี่ B ก็มีกุศโลบายในการยกตัวอย่างให้ผมเห็นภาพ โดยเล่าว่า
"คุณรู้มั๊ย ว่าคนไทยแพ้คำว่าอะไร?"
ผมตอบไม่ได้ พี่ B จึงเฉลยว่า
"คนไทย แพ้คำว่า "ขอ" เพราะโดยธรรมชาติแล้ว คนไทยมีเมตตาและขี้เกรงใจ ดังนั้น ถ้าเรารู้จักธรรมชาติข้อนี้ บวกกับกาละและเทศะ และความฉลาดในการเจรจา เราก็จะพิชิตใจพวกเค้าได้"
ไม่ใช่แค่ยกตัวอย่างของคนไทยเท่านั้น พี่ B ยังเพิ่มความรู้ให้ผมต่อ โดยถามว่า
"แล้วคุณรู้มั๊ย ว่าฝรั่งแพ้คำว่าอะไร?"
ผมตอบไปโดยไม่ทันคิดว่า "ไม่ทราบครับ"
พี่ B ยิ้มแล้วบอกว่า "คุณต้องรู้จักฝึกคิด ไม่ใช่ตอบโดยไม่คิด"
ผมได้แต่อึ้ง เพราะเป็นอย่างที่พี่ B ว่าจริงๆ ทั้งที่ปกติผมจะคิดก่อนตอบ แต่พออยู่ต่อหน้าพี่ B แล้ว ผมกลับกำกับสติตัวเองได้ไม่ดีพอ
พี่ B เล่าต่อว่า "ฝรั่งแพ้คำว่า "Fair" ดังนั้น ถ้าคุณทำให้เค้ารู้สึกว่า เค้ากำลังไม่ fair กับคุณ ก็จะทำให้คุณมีโอกาสชนะใจเค้าได้ แต่คุณก็ต้องมีวิธีการที่ดี ไม่ใช่จู่ๆ ไปต่อว่าเค้าว่าไม่ fair นะ ต้องรู้จักฉลาดพูด"
พี่ B ถามผมต่ออีก "แล้วคนญี่ปุ่นล่ะ แพ้คำว่าอะไร?"
คราวนี้ผมนิ่งคิดไปพักนึง แต่ก็คิดไม่ออกอยู่ดี...สุดท้ายพี่ B ก็เลยเฉลยว่า
"คนญี่ปุ่น แพ้คำว่า "ขอบคุณ" ถ้าคุณรู้จักคุยกับเค้าบ่อยๆ รู้จักขอบคุณเค้าในเรื่องต่างๆ...ก็จะทำให้เค้าเกิดความเอ็นดู และนั่นจะนำไปสู่การเจรจาต่อรองที่ง่ายขึ้น"
เป็นไงครับ...อึ้งและทึ่งเหมือนผมมั๊ยครับ กับองค์ความรู้และวิธีคิดที่พี่ B แนะนำ?
ยังไม่หมดครับ...ผมขอเล่าต่อ
...
ด้วยความห่วงใย พี่ B ก็ถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องการวางแผนจัดการเรื่องการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่อง Credit Term กับคู่ค้า
ผมก็เล่าให้พี่ B ฟัง ว่าคู่ค้ามีเงื่อนไขยังไง จ่ายเงินเมื่อไหร่...คงเหมือนผมแสดงสีหน้าเหนื่อยหน่าย พี่ B ก็เลยให้สติต่อไปว่า
"อย่าไปคิดว่า Credit Term เป็นแบบนี้ ก็ต้องเป็นแบบนี้ไปตลอด คุณต้องรู้จักหมั่นไปคุยไปปรึกษากับคู่ค้า คุยทั้งจากระดับล่างและระดับบนไปพร้อมๆ กัน"
"ไม่ใช่มัวแต่จะต่อว่าคู่ค้าหรือมัวสมเพชตัวเอง ว่าเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ หรือทำอะไรไม่ได้ คุณต้องรู้จักดิ้นรนหาวิธี" พี่ B ขยายความต่อ
...
จากสิ่งที่พี่ B แนะแนว, รู้สึกเหมือนผมมั๊ยครับ ว่าพี่ B บรรลุสัจธรรมบางอย่าง และกลายเป็นธรรมชาติในตัวเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ปัญญาวิเคราะห์หาที่มาที่ไป และคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล รวมไปถึงการเตรียมตัวเองให้ถึงพร้อมอยู่เสมอกับการเปลี่ยนแปลง
ยาวหน่อยนะครับ แต่ยังไม่จบ
...
ตอนหนึ่งของการสนทนา พี่ B ถามผมว่า "คุณรู้มั๊ย คำว่า "ปัญญา" แปลว่าอะไร?"
ผมคิดอยู่ครู่เดียว ก็ตอบพี่ B ว่า "ปัญญาก็คือ Wisdom ครับ"
พี่ B ตอบผมแบบเอ็นดูว่า "นั่นมันคำแปล ผมถามความหมาย"
ผมตอบว่า "ปัญญาคือการรู้จักการนำความรู้ที่มีมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ครับ"
พี่ B ยิ้มน้อยๆ แล้วตอบว่า "เกือบถูก...ปัญญา คือ การนำความรู้ที่ดีมาประยุกต์ใช้...ไม่ใช่แค่ความรู้ แต่ต้องเป็นความรู้ที่ดี จึงจะนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดเรื่องดีๆ และสิ่งดีๆ กับตัวเราและคนรอบข้างได้ด้วย"
...
ทั้งหมดที่ผมเล่ามา เป็นแค่ "ส่วนหนึ่ง" เท่านั้นนะครับ ที่ผมได้เรียนรู้จากพี่ B เพราะถ้าให้ผมเล่าเต็มๆ คงได้ทำสถิติ Longest Post แน่ๆ ครับ
มาถึงบรรทัดนี้...ผมก็หวังว่า ข้อคิดดีๆ ที่พี่ B กรุณาแนะแนวมา จะได้ถูกนำไปคิดต่อยอดและเป็นประโยชน์ให้กับท่านอื่นๆ ต่อไป
ส่วนผม นอกจากจะนำไปคิดต่อยอดแล้ว จะนำไปปฏิบัติให้เกิดผลด้วยครับ เพราะผมเชื่อว่า นั่นจะเป็นการตอบแทนความกรุณาของพี่ B ได้ตรงเจตนารมย์ของพี่ B ที่สุดแล้วครับ
...ทุกอย่างเริ่มจาก "คิดดี" อย่างที่พี่ B พร่ำบอกเสมอมาจริงๆ ครับ...ผมเชื่ออย่างนั้น...
Comments
Post a Comment