Skip to main content

Posts

Showing posts from September, 2016

Post#4-024: ผจญ "ภัย" ในฮ่องกง

Post#4-024: ผมพึ่งกลับจากการไปประชุมแบบเช้าไปเย็นกลับที่ฮ่องกงเมื่อครู่นี่เองครับ...เป็นอีกหนึ่ง short-trip ที่เหนื่อยเอาการ จากประสบการณ์ของผม...ฮ่องกงเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความเปลี่ยนแปลงที่ฉับไวมากที่สุดเมืองหนึ่งของโลก เพราะไม่ได้ไปเดี๋ยวเดียว...ไปอีกครั้งก็มักจะได้เห็นตึกขึ้นใหม่ ไม่ก็ร้านรวงเปิดใหม่อยู่เสมอๆ ... ทุกครั้งที่ได้ไปเยือนฮ่องกง...ผมก็ยังชื่นชอบและชื่นชมในความล้ำสมัย, ข้าวของเครื่องใช้, อาหารจานเด็ด รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ แต่เท่าแล้วเท่ารอด...สิ่งที่คนฮ่องกงส่วนใหญ่ยังทำได้ไม่ดีเอาเสียเลย ก็คือเรื่องการบริการ ไม่ว่าจะเป็น Flight Attendance, ตม., Taxi, พนักงานร้านอาหาร แม้กระทั่งพนักงานขายใน Apple Store...เมื่อเทียบกับคนไทยเราแล้ว พวกเค้าขาดความนุ่มนวล, อ่อนน้อม และละมุนละไมในการให้บริการเอาเสียจริงๆ เกือบ 25 ปี ที่ผมได้สัมผัสกับคนฮ่องกงมา...ผมคิดว่า เรื่อง "หัวใจบริการ" นั้น เป็นสิ่งที่คงปรับเปลี่ยนได้ยากเหลือเกินสำหรับพวกเค้า ... ผมไม่ได้กำลังต่อว่าคนฮ่องกงหรืออวยคนไทยแต่อย่างใดครับ...เพราะไม่ได้หมายรวมว่า คนฮ่องกงแข็งกระด้างไปเสีย...

Post#4-023: ฟุตฟิตฟอไฟ

Post#4-023: เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา ผมคุยกับลูกน้องคนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษของเธอ เธอบอกว่า ฟังพี่พูดก็พอรู้เรื่อง แต่ฟังต่างชาติพูดให้รู้เรื่องนี่ก็เหนื่อยยากหน่อย แน่นอนว่า ฟังผมก็คงพอรู้เรื่องบ้าง เพราะผมพูดอังกฤษแบบ Thai Accent...แต่เท่านี้คงไม่พอที่จะทำให้เธอก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีกว่านี้ได้ ...เธอบอกผมว่า เธอล้มเหลวแม้จะพยายามไปเข้า English Course มาแล้วถึง 2 ครั้ง ก็ตาม ... หลายๆ คนที่เป็นชาว office ยังเข้าใจไม่ชัดเจนถึงการไปเข้า course เรียนภาษาอังกฤษ มันแตกต่างจากการแค่ไปนั่งเรียนสมัยเรายังเป็นละอ่อน...แบบนั้นคือการเรียนเพื่อสอบ ไม่ใช่เรียนเพื่อนำมาใช้ประจำวัน ผมยืนยันว่า ถ้าใครคิดจะมาพัฒนาภาษาอังกฤษด้วยการไปเข้า course เรียนนั้นน่ะ...ก็ออกจะ "ไม่ค่อยทันใช้" อย่างแน่นอน ... วิธีการพัฒนาภาษาอังกฤษที่ได้ผลที่สุด...ไม่มีอะไรดีกว่า การเน้นฟัง, พูด, อ่าน และเขียน "ด้วยการฝึกฝน" แต่ที่ผมแนะนำเป็นอย่างยิ่งก็คือ ต้องฝึกด้วยตัวเอง "อย่างจริงจัง"...โดยอาจจะหาคนที่เก่งภาษาอังกฤษมากกว่าเรา เป็นผู้ช่วยแนะนำบ้าง ...

Post#4-022: PPAP

Post#4-022: ว่าจะไม่เขียนถึง PPAP แล้ว...แต่กระแสเค้าแรงดีจริงๆ ครับ ^^ ขณะที่ผมเขียน Post นี้อยู่...ก็ปาเข้าไปกว่า 6 ล้าน view แล้ว (ภายใน 3 วัน เท่านั้น) ซึ่งยังไม่นับรวม Version อื่นๆ ที่คนดังทั่วโลกต่างก็มาทำ cover อีก ทำไม PPAP ถึงเป็นกระแสขนาดนี้? ...อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ...ได้ยินคำบอกเล่าหรืออ่านตาม News Feed ว่าจะทำให้เกิดอาการ Earworm ขนาดหนัก ว่าแล้วผมก็ลองกับเค้าบ้าง...ผลหรือครับ ไม่มี effect ที่ว่าเกิดขึ้นกับผมเลยสักนิด เอาใหม่...ลองเปิดให้ภรรยาและลูกสาวฟัง...ได้ข้อสรุปแบบเดิม คือไม่เกิดอาการ Earworm ที่ว่าเลย ผมทดลองฟัง PPAP เมื่อวานตอนดึกมากๆ...และจนกระทั่งถึงตอนนี้ ผมก็ไม่ได้นึกถึง PPAP อีกเลย ... เท่าที่จับสังเกตดู ผมก็แค่รู้สึกว่าทำนองเพลง PPAP นั้น สนุกสนานดี แล้วก็เสียงของ อ.Pico กับท่าเต้นนั้น ออกไปทางกวนประสาทเหลือร้าย ดูไปและฟังไป ก็ทำให้เกิดรอยยิ้มไปพร้อมกับข้อกังขาไปด้วยว่า "เพ่ต้องการอะไรจากสังคมครับเพ่" (จริงๆ ก็ทราบครับ ว่า อ.Pico ต้องการทดลองอะไรบางอย่าง) แต่ถามว่าชอบมั๊ย...บอกเลยว่า "ชอบ" ครับ ... ผมลองว...

Post#4-021: แก้ปัญหาตรงจุดรึเปล่านะ?

Post#4-021: คาดว่าหลายๆ คนคงเจอปัญหาแบบผมกันบ้าง คือ keyboard ของ PC หรือ Laptop ของเรามักจะมีรอยนิ้วมือมันๆ ติดอยู่ บ่อยครั้งที่เรามั่นใจว่า เราเช็ดนิ้วมือสะอาดดีแล้ว...อ้าว เผลอแพล่บเดียว มีรอยมันๆ ติดที่ keyboard อีกแล้ว ไม่ว่าจะเช็ดนิ้วมือกี่ครั้ง, เดี๋ยวๆ ก็มีรอยนิ้วมือมันๆ ปรากฏขึ้นมาอีกจนได้ ไม่ใช่เรื่องมิติเร้นลับแน่ๆ...แต่ทำไมกันหนอ? ... ผมว่าหลายๆ ท่านคงรู้คำตอบแล้ว แต่อีกหลายท่านก็อาจกำลังสงสัยอยู่...ผมเองก็พึ่งสังเกตเห็นสาเหตุได้ไม่นานมานี้เองครับ สาเหตุก็คือ เพราะผมเป็นคน "หน้ามัน" นั่นเอง อ้าว (อีกที)...ก็แล้ว "หน้ามัน" มาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ? ... ก็บ่อยครั้งที่นั่งจิ้ม keyboard ทำงานกันเพลินๆ มือของเราก็เผลอไปจับหน้า, คีบจมูก, เกานั่น หรือจับนี่ ไปเรื่อยเปื่อยโดยที่เรา "ไม่รู้ตัว" นั่นเองครับ แล้วเจ้าคราบมันทั้งหลายก็จึงติดกับนิ้วมือของเราไปปรากฏกายที่ keyboard ตามท้องเรื่อง ดังนั้น ถ้าไม่ไปล้างหน้าหรือทำอะไรให้หน้าหายมันเสียก่อน...ยังไงเสีย รอยนิ้วมือมันๆ ก็จะปรากฏขึ้นอยู่ร่ำไป ... บ่อยครั้ง ชีวิตของเราก็อาจจะเจอเหตุ...

Post#4-020: Hello Vacation!

Post#4-020: หลังจากกรำงานหนักติดต่อกันมาอย่างยาวนานหลายเดือน...ผมก็เริ่มรู้สึกว่า คงต้องถึงเวลาต้องไปชาร์จพลังเสียที ไม่ว่าใครคนใดก็ตามจะชอบทำงานเพียงใด...แต่ก็คงไม่ถึงกับทำให้อยากทำงานถึงขั้นต้องลงแดง หากว่าจะต้องหาเวลาพักร้อนยาวๆ บ้าง ถือเสียว่าเป็นการ "หยุด...เพื่อไปต่อ" ประมาณนั้นล่ะครับ ... ว่ากันตามจริง...ฤดูแห่งการพักร้อน (Vacation) ก็ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว...ถือเป็นช่วงที่เหล่ามนุษย์เงินเดือนทั้งหลายรอคอยไม่น้อยไปกว่าช่วงเดือนเมษาฯ ความสุขหนึ่งของพวกเค้าก็คือการได้กางปฏิทินเพื่อวางแผนลาพักร้อน...ลายังไงให้มีประสิทธิภาพสูงสุด แบบลาน้อยๆ แต่คร่อมวันหยุด...ประมาณนี้ สารภาพว่า สมัยเป็นพนักงานประจำ ผมเองก็รอคอยวันหยุดแบบนี้เหมือนกันล่ะครับ...แต่หลังจากมาเป็นเจ้าของกิจการแล้ว  ก็ถึงกับสะกดคำว่า "พักร้อน" ไม่ค่อยจะถูก ... ในช่วง 10 กว่าปีมานี้ ผมไม่เคยต่อว่าลูกน้องเลย หากว่าจะขอลาหยุดยาวๆ เพราะเข้าใจดีถึงความสุขของพวกเค้า แต่ก็ขอเตือนมนุษย์เงินเดือนที่วางแผนพักร้อนไว้หน่อยว่า 1.จะลาน่ะไม่ว่า...แต่แน่ใจใช่มั๊ย ว่าจัดการงานที่รับผิดชอบไว้เรียบร้อยแ...

Post#4-019: เรียนพิเศษ

Post#4-019: วันนี้ภรรยาของผมเปิดโรงเรียนสอนพิเศษอย่างเป็นทางการเป็นวันแรก...หลังจากจดๆ จ้องๆ มาหลายปี นอกจากสมทบทุนและช่วยดูสัญญาเช่าแล้ว ผมก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับเธอเลย...เพราะอยากให้เธอมีอิสระในการตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง อีกสาเหตุหนึ่งคือผมไม่มีความรู้เลยในเรื่องธุรกิจการศึกษา...ดังนั้น ไม่ยุ่งจะถือเป็นการช่วยมากกว่า ... ถ้าถามผมว่า การเรียนพิเศษนั้น จำเป็นหรือไม่สำหรับเด็กๆ...ผมก็ขอตอบว่า ขึ้นอยู่กับว่าเด็กตั้งใจเรียนในห้องมากแค่ไหน? หากปกติเรียนอ่อนเพราะไม่ตั้งใจ...แบบนี้ มาเรียนพิเศษ ก็เสียเงินฟรีๆ หากว่าเด็กต้องมา เพราะพ่อแม่บังคับให้เด็กมาเรียน (ทั้งๆ ที่เค้าไม่อยากมา)...ด้วยเชื่อว่าจะทำให้ลูกได้เปรียบคนอื่น...แบบนี้นอกจากเสียเงินฟรีแล้ว ยังจะทำให้เด็กเกลียดการเรียนไปด้วย หากรู้ตัวว่าเรียนไม่เก่ง เลยต้องมาเรียนพิเศษ...แต่กลับบ้านก็ไม่ทบทวนสิ่งที่ร่ำเรียนมา...ก็เช่นกันที่ต้องบอกว่า ไร้ประโยชน์ ดังนั้น นอกเหนือไปจากความรู้ทางวิชาการที่ต้องส่งมอบให้เด็กแล้ว...ครูสอนพิเศษยังมีหน้าที่ต้องสร้างจิตสำนึกให้เด็กอยากเรียนรู้ต่อไปด้วย ... ผมอยากบอกว่า...พ่อ...

Post#4-018: ปั้นเด็ก

Post#4-018: เมื่อดึกวานนี้ เราคุยกันถึงเรื่องเด็กปั้น แล้วก็มีน้องรักของผมท่านหนึ่ง มา comment ว่า จะถอดใจในการปั้นเด็กเสียแล้ว ว่ากันตามจริง สมัยก่อนผู้ใหญ่ก็มักจะเปรยๆ ว่าเด็กรุ่นผมนั้น ไม่ค่อยจะมีน้ำอดน้ำทนเอาเสียเลย สู้คนรุ่นก่อนก็ไม่ได้ มาวันนี้ ผมก็อยากจะพูดเหมือนท่านเหมือนกัน เพียงแต่ขอเพิ่มส่วนขยายไปหน่อยว่า เด็กสมัยนี้ "บางคน" (ซึ่งหวังว่าคงจะเป็นเพียงเด็กส่วนน้อยเท่านั้นนะครับ) ก็รักสบายจนเกินไปจริงๆ ... ความเชื่อหรือวิธีคิดของมนุษย์เงินเดือนบางคนนั้น มองคุณค่าของตัวเองต่ำจนเกินไป และเข้าใจผิดๆ ว่าเค้ากำลังเอาเวลา 8 ชั่วโมงมาแลกกับเงินค่าจ้าง ถ้าเป็นแบบนั้นจริง แสดงว่าองค์กรก็ไม่จำเป็นต้องจ้างคนที่มีความสามารถสูงๆ มาทำงาน เพราะเวลาของทุกคนก็ยาวนานเท่ากันหมด แปลว่า เราก็ควรจ่ายค่าตอบแทนให้กับ CEO น้อยกว่าแม่บ้าน เพราะมีจำนวนชั่วโมงการทำงานน้อยกว่า? แปลว่า เราก็ควรจ่ายเงินให้คนมาทำงานแต่เช้าและกลับบ้านค่ำสุดมากกว่าทุกๆ คน? มันใช่แบบนั้นรึเปล่าล่ะครับ? ... ในความจริงแล้ว เราได้รับค่าตอบแทนจากศักยภาพที่จะสร้างผลตอบแทนทางธุรกิจ และความสามารถที่จะสร้า...

Post#4-017: เด็กปั้น

Post#4-017: ผมใช้เวลาช่วงบ่ายแก่ๆ ของวันนี้ พูดคุยกับทีมงานขององค์กรหนึ่ง ถึงเรื่องการเตรียมความพร้อมในการขยายธุรกิจ บ่อยครั้งและมากหน ที่ต่างคนจากต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจในเป้าหมายไปคนละทาง และมักจะยึดติดกับแนวทางเดิมๆ ที่เคยทำมา ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำให้งานสำเร็จลดลง ตรงนี้จึงเป็นเหตุให้ต้องมีการแต่งตั้ง Project Manager ขึ้นมา เพื่อดูแลและประสานงานในภาพรวม...เรียกง่ายๆ ว่าเป็น "เจ้าภาพ" นั่นเองครับ ... สำหรับผมแล้ว หนึ่งในแนวทางที่ช่วยพัฒนาและยกระดับของผู้บริหารชั้นต้นได้ดีมากทางหนึ่ง...ก็คือการมอบหมายให้เป็น Project Manager ใครที่ได้รับมอบตำแหน่งนี้ จึงควรดีใจ...เพราะนั่นหมายความว่า คุณเข้าข่ายเป็น "เด็กปั้น" ของเจ้านาย เข้าแล้ว เพราะนั่นคือการเปิดโอกาสให้คุณได้เรียนรู้การมองภาพรวมของ project และเปิดโอกาสให้พัฒนา Inter-personal Skill (ความสามารถในการประสานงานกับคนอื่น) และ Leadership Skill (ความสามารถในการเป็นผู้นำ) ได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น ยังเป็นการเปิดโอกาสให้คุณได้เรียนรู้เรื่องการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน, ควบคุมงานให้เป็นไปตามเป้าหมาย ร...

Post#4-016: I'm authentic of being inauthentic...

Post#4-016: ช่วงหลายปีหลังๆ มานี้ ผมมักจะได้ยิน Guru ด้าน Personality และ Leadership หลายๆ ท่าน ออกมาสอนเรื่อง Authenticity อันว่า Authenticity นี้ แปลแบบสละสลวยก็คือ ความเป็นเนื้อแท้, เข้าใจยากไปใช่มั๊ยครับ งั้นแปลใหม่แบบบ้านๆ ว่า ความตรงไปตรงมาแบบไม่อ้อมค้อม ยกตัวอย่างเช่น เรารู้สึกอะไรอย่างไร เราก็จริงใจที่จะบอกออกไป...เพื่อนชวนไปเที่ยวกลางคืน เราก็บอกออกไปตรงๆ เลย ว่าไม่เอาอ่ะ ไม่อยากไป...แบบนี้เป็นต้น ... ในความเข้าใจของผมนั้น Authenticity ในมุมมองของ Personality กับ Leadership นั้น ไม่เหมือนกัน การที่เรามีบุคลิกที่ authentic นั้น หมายถึงเราเป็นคนที่ค่อนข้างเปิดเผย ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ส่วนการที่เราเป็นผู้นำแบบ authentic นั้น หมายถึง การที่เราทำอะไรอย่างจริงจัง มุ่งมั่น และทำได้จริงอย่างที่พูด แต่ Authentic Leader จำเป็นจะต้องมี Authentic Personality ด้วยรึเปล่านะ? ... ผมมิอาจสรุปแทน Leader ท่านอื่นๆ ได้...แต่สำหรับตัวผมเอง ยอมรับอย่างไม่ลังเลเลยว่า "Sometimes you have to be authentic of being inauthentic..." แปลว่า "บางครั้งเราจำเป็นต้องเปิ...

Post#4-015: เบื่อความเดิมๆ

Post#4-015: เคยถูกเพื่อนชวนไปร้องคาราโอเกะเพราะมีการ update เพลงใหม่ แต่ลงท้ายด้วยการร้องเพลงเก่าๆ เสียเป็นส่วนใหญ่มั๊ยครับ? แล้วเคยถูกเพื่อนชวนไปทานข้าวกลางวันไกลจาก office มากๆ ด้วยเหตุผลว่าเบื่อร้านใกล้ๆ แต่สุดท้ายเพื่อนก็สั่งข้าวกระเพราไก่เหมือนเดิมมั๊ยครับ? เคยเป็นมั๊ยครับ อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นคนใหม่ ลงทุนซื้อลู่วิ่ง, จักรยาน หรือเครื่องออกกำลังกาย แต่เมื่อซื้อมาแล้ว เห่ออยู่ 2 วัน ก็กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมมั๊ยครับ? เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่เรามักจะพบเจอกับตัวเองและคนรอบข้างได้เสมอ ลองคิดดูมั๊ยครับ...ว่าเพราะอะไรเอ่ย? ... ผมไม่อาจจะฟันธงได้แบบชัดเจน...แต่วิเคราะห์เองว่า เป็นเพราะเราเบื่อความเคยชินแต่กลัวการเปลี่ยนแปลง เราอาจจะเบื่อที่ชีวิตต้องเจออะไรซ้ำๆ เดิม...จึงอยากที่จะทำอะไรที่แตกต่างไปจากที่เคยทำบ้าง แต่เมื่อถึงเวลาที่จะต้องลงมือทำอะไรที่ต่างจากเดิมทีไร...ใจมันก็แข็งไม่พอที่จะเปลี่ยนแปลงไปเสียทุกที จึงมักกลายเป็น "วงจรล้มเหลว" คือเริ่มด้วยความมุ่งมั่น, รั้งรอที่จะเริ่มต้น, ลงมือทำด้วยความไม่คุ้นเคย และจบลงด้วยการเลิกทำเรื่องใหม่นั้น ด้...

Post#4-014: ดราม่าอีกครา...

Post#4-014: หนึ่งในปัญหาการลาออกที่ผมพบเจอบ่อยๆ ก็มักเกิดจากเรื่องซุบซิบในที่ทำงาน ส่วนตัวผมคิดว่ามันคงเกิดจาก คนเริ่มต้นการซุบซิบนั้น คง "ว่าง" เกินไปกระมัง เรื่องบางเรื่องที่นำมาซุบซิบกัน...บางครั้งไม่มีมูลความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว และบ่อยครั้งที่เกิดจากการ "มโน" ไปเองของคนเริ่มเรื่อง ที่น่าเศร้าก็คือ...คนฟังดันไม่มีสติไตร่ตรองที่มากพอ...ว่าเรื่องไหนจริงหรือเรื่องไหนเท็จ ... จริงอยู่ที่เราไม่อาจห้ามคนซุบซิบนินทาได้...แต่เราจำเป็นต้องแยกแยะให้ได้ว่า เรื่องไหนควรเชื่อได้มากน้อยเพียงใด บางครั้ง คนเริ่มเรื่องก็พูดไปแบบคะนองปาก, อำเล่น หรืออาจจะมีเจตนาแอบแฝงอะไรบางอย่าง ...ซึ่งผมเองก็ไม่อาจจะแน่ใจได้ชัดเจนว่า คนเริ่มเรื่องนั้น ต้องการอะไรจากการทำแบบนี้กันแน่ ... ผมไม่ได้บอกให้เราระแวงเพื่อนร่วมงาน...แต่แค่ต้องการให้เราวิเคราะห์เรื่องราวที่ได้ยินให้ดีก่อนจะตัดสิน อย่า "ระแวง" จนเกินเรื่อง ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ "หูเบา" จนกลายเป็นไร้ซึ่งสมองในการไตร่ตรอง ชีวิตจะไม่ยุ่งยากเลย...หากเราให้ความสำคัญกับการไตร่ตรองด้วยตรรกะและเหตุผล ไม...

Post#4-013: Oh...Baby!

Post#4-013: มื้อเย็นวันนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวพร้อมกับลูกสาว...แล้วก็ดู Funny Clip ใน Youtube ไปด้วย หนึ่งใน clip ที่ดูไปขำไปทุกครั้งก็คือ clip ที่เกี่ยวกับหมา, แมว หรือสัตว์อื่นๆ...แต่ที่เจ๋งสุดก็คือ clip ที่เกี่ยวกับ Baby ล่ะครับ ทั้งน่ารัก, น่าชัง, น่าขำ ไปพร้อมๆ กับน่าสงสาร เวลาที่หนูๆ ถูกแกล้งให้ร้องไห้ ... ดูไปหลาย clip ก็ชักจะรู้สึกว่า อันตัว Baby นี้ น่าจะเป็นที่รวมของเสียงที่สดใสที่สุดในโลกและเสียงที่เข้าใจยากที่สุดในโลก ไว้ในร่างเดียว เสียงที่สดใสที่สุดในโลก...ไม่มีเสียงไหนเกินกว่า เสียงหัวเราะของเด็ก เพราะมันเป็นเสียงที่บริสุทธิ์แบบไม่มีอะไรเคลือบแฝง ส่วนเสียงที่เข้าใจยากที่สุด...ผมว่าไม่มีเสียงไหนเข้าใจยากเท่าเสียงร้องไห้ของ Baby อีกแล้ว เพราะมันเป็นเสียงแบบเดียวกันหมด ไม่ว่าจะหิว, ขับถ่าย, ไม่สบาย, ง่วงนอน ฯลฯ ... จะว่าไป ชีวิตเราก็เหมือนเสียง 2 แบบของ Baby ตรงที่ว่า บางวันก็สดใส และบางวันก็มีน้ำตา ลองคิดภาพ Baby ที่หัวเราะทั้งวัน หรือร้องไห้ไม่หยุดดูสิครับ...ว่าจะน่าประหลาดขนาดไหน? Baby ที่ทั้งหัวเราะและร้องไห้ จึงนับเป็นคนโดยสมบูรณ์ ดังนั้น ชีวิตที่ม...

Post#4-012: จอมปราชญ์ผมสีดอกเลา

Post#4-012: ปกติผมจะมักจะใช้บริการ Taxi เกือบทุกครั้ง เมื่อมาถึงและลาจากสิงคโปร์...ค่าที่ข้าวของมันจะพะรุงพะรังนิดหน่อย และเป็นประจำที่ผมมักจะเป็นฝ่ายชวนสนทนากับคนขับ...ซึ่งโดยส่วนมากใช้ภาษาอังกฤษได้ดีเหลือหลาย หลายครั้งบทสนทนาจากคนขับรถ Taxi ที่ดูเหมือนน่าจะเป็นแค่บทสนทนาฆ่าเวลา...กลับกลายเป็นบทเรียนล้ำค่า ให้ผมได้นำไปคิดต่อยอดได้มากมาย ... บ่ายวันนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมได้พบกับปราชญ์ท่านหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ คุณลุง L นะครับ) ที่โชคชะตาพาให้มาเจอกัน คุณลุง L อยู่ในวัยเกษียณแล้ว...แต่ไม่ยอมหยุดอยู่บ้านเฉยๆ ให้เหี่ยวเฉา...ว่าแล้วคุณลุงก็เลยมาขับ Taxi ได้ 4-5 ปีแล้ว ตอนหนึ่งของการสนทนา...ผมก็เล่าให้คุณลุงฟังว่า Taxi ของบ้านเราต่างจากสิงคโปร์ยังไงบ้าง คุณลุงฟังไปก็ยิ้มไป...แล้วก็สรุปว่า "คงไม่เฉพาะคนขับ Taxi ที่เมืองไทย หรอก เพราะคนขับ Taxi ชาวสิงคโปร์บางคน ก็มีที่นิสัยไม่ดี... และไม่ว่าจะเป็นคนขับชาวไทยหรือสิงคโปร์ก็ตาม ที่แสดงกิริยาไม่ดีต่อผู้โดยสาร ล้วนต้องถือว่า ไม่เคารพในอาชีพตัวเอง" คุณลุง L ว่าต่อไปว่า "คนเรา ไม่เฉพาะแต่อาชีพ Taxi เท่านั้น หากแต่...

Post#4-011: Singapore Grand Prix

Post#4-011: ผมมีโอกาสได้ไปเข้าชมการแข่งขัน F1 Grand Prix ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่ Singapore เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมานี่เองครับ ต้องขอบคุณหุ้นส่วนชาวต่างชาติที่เชิญผมมาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ในรายการที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ ความฝันของผู้ชายส่วนใหญ่...ก็น่าจะมีเรื่องการได้ขับรถความเร็วระดับ F1 เป็นเรื่องหนึ่งในนั้น ... ตั๋วของผมเป็นตั๋วที่เรียกว่า Walkabout ซึ่งหมายถึงสามารถเดินไปมุมนั้น นู้น นี้ ของสนามแข่งได้ตามใจ อีกแบบหนึ่งก็คือตั๋วนั่ง ซึ่งต้องอยู่กับที่ ไปไหนไม่ได้จนกว่าจะจบการแข่งขัน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง อารมณ์ของการมาดูการแข่งค่ำนี้ ก็ประมาณไปดูการแข่งม้าที่ Royal Ascot หรือการแข่งโปโลที่ Cowdray Park ล่ะครับ... ถ้าจะให้นึกภาพตามได้ง่ายขึ้น...ก็คล้ายๆ กับการไป Outdoor Picnic ปูเสื่อนั่งชิลล์ๆ กับเพื่อนฝูง...ประมาณนั้น ... ได้มาดูของจริงกับตาและได้ยินเสียงเครื่องยนต์กับหูแล้ว...ต้องบอกว่าบรรยากาศค่อนข้างต่างจากใน TV มากโขอยู่ครับ จังหวะรถวิ่งทางตรง...ผมมองเห็นเกือบจะเป็นแค่เงาๆ เท่านั้นเอง...ต้องเดินหามุมที่เป็นทางโค้ง จึงพอจะเก็บภาพรถได้บ้าง พอมาสัมผัสความเร็ว...

Post#4-010: Resilience

Post#4-010: หลัง Board Meeting เมื่อเช้านี้, ผมพบตัวเองอยู่ใน Seminar หนึ่ง ที่ผู้ถือหุ้นของผมจัดขึ้น ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยได้ update องค์ความรู้ของตัวเองในเรื่อง Leadership มากนัก...เพราะมีภารกิจต่างๆ ค่อนข้างมาก ครั้งนี้จึงนับเป็นโอกาสดี ที่ได้มาเติมความรู้เข้าคลัง โดยครั้งนี้ Coach ได้เลือกหัวข้อ Resilience (แปลว่า "ความรู้จักยืดหยุ่น") มาเล่าให้ฟัง ... ในสภาพแห่งความผันผวนทางเศรษฐกิจแบบนี้ Coach ตั้งคำถามว่า ผู้ที่เป็นผู้นำองค์กรจะต้องคิดให้รอบคอบว่า จะนำพาองค์กรฝ่าวิกฤตไปได้อย่างไร? ผู้นำจึงอาจจะต้องมีหรือต้องขัดเกลาทักษะหลายๆ อย่าง เพื่อนำองค์กร...และหนึ่งในทักษะที่ควรต้องมี ก็คือ Resilience Coach เล่าว่า ความจริงแล้วเราเกิดมาพร้อมๆ กับ Resilience แต่เมื่อเราเติบโตขึ้น เรามักจะถูกลดทอนเรื่อง Resilience นี้ จากหลายๆ ปัจจัย หนึ่งในปัจจัยที่ว่า ก็คือ Ego และ Experience นั่นเอง การที่เราจะมี Resilience ในระดับสูงได้ เราจำเป็นจะต้องพัฒนาองค์ประกอบ 3 ตัว ให้เข้มแข็ง...ซึ่งได้แก่ Authenticity แปลว่า ความเป็นเนื้อแท้ Adaptability แปลว่า ความสามาร...

Post#4-009: ตัวช่วยชั้นดีสำหรับนักเดินทาง

Post#4-009: ทุกครั้งที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ...ผมก็มีอันจะต้องไปขอใช้บริการ Airline Lounge หรือไม่ก็ King Power Lounge อยู่เสมอ ว่าตามประสาคนเดินทางบ่อย, การที่มีโอกาสได้เข้าไปใช้บริการ Lounge นี้ นับว่าช่วยลดความเหนื่อยล้าจากการเดินทางได้ค่อนข้างมาก...จึงถือเป็นบริการหนึ่งที่ควรจะมีไว้สำหรับ Frequent Traveller เป็นอย่างยิ่ง และเบื้องหลังรอยยิ้มของนักเดินทางทั้งหลาย...ย่อมต้องปรบมือดังๆ ให้กับผู้บริหารและพนักงานของ Lounge ทุกๆ ตำแหน่ง ... เพื่อให้มั่นใจว่า การให้บริการนักเดินทางจะเป็นไปอย่างดีที่สุด...ทีมงานทุกคนนั้นต้องเตรียมการอย่างพร้อมมูลที่สุด คือต้องใส่ใจตั้งแต่อาหารและเครื่องดื่มที่เตรียมไว้บริการ, ความสะอาด, สภาพแวดล้อม ครอบคลุมไปถึงบรรยากาศโดยรวม... และแน่นอนว่าพวกเค้าไม่เคยลืม...คือต้องเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมมูล บวกกับต้องมีกำลังใจที่เต็มเปี่ยม...ก็เพื่อให้พร้อมดูแลนักเดินทางด้วยความรวดเร็ว, ถูกต้อง และประทับใจ ... ใครที่เคยทำงานบริการจะรู้ดีว่า...ข้างนอกยิ้มแย้มแต่ข้างในร้องไห้น่ะ เป็นยังไง? ไม่ว่าก่อนจะลงพื้นที่บริการมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจยังไง...เมื่...

Post#4-008: แพ้หรือชนะ...วัดกันตั้งแต่วิธีคิด

Post#4-008: ค่ำนี้ ผมนัด Dinner กับ Vendor รายหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ คุณ S นะครับ) เพื่อหารือความเป็นไปได้ในเรื่องการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าใหม่ เนื่องจากเป็นความต้องการที่มีความซับซ้อนมากไปกว่าปกติที่ทางคุณ S เคยทำอยู่...จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผมจะต้องหารือให้ชัดเจน ก่อนที่ผมจะไปรับปากลูกค้าอีกที ก่อนมาพบคุณ S ผมได้คุยกับทีมงานของเธอมาก่อนแล้ว...ซึ่งระดับทีมงานให้คำตอบผมมาว่า ไม่สามารถทำความต้องการของลูกค้าได้... แต่ผมไม่เชื่อว่าทำไม่ได้...จึงอยากหารือกับคุณ S อีกครั้ง เพื่อความมั่นใจ ... หลังจากที่ผมเล่าเรื่องราวและความต้องการของลูกค้าให้คุณ S ฟังแล้ว...คำตอบของคุณ S ก็คือ "แม้จะยังทำไม่ได้แบบ 100% ในตอนนี้ แต่มั่นใจว่าจะทำได้แน่ๆ ขอเวลาเตรียมตัวนิดหน่อย" เมื่อหลักการผ่านแล้ว...เราก็หารือกันต่อในประเด็นปลีกย่อยอื่นๆ เพื่อให้การเตรียมงานมีความสมบูรณ์มากขึ้น ... สงสัยมั๊ยครับ ว่าทำไมเมื่อคุยกับคุณ S และทีมงาน...ผมจึงได้คำตอบที่ไม่เหมือนกัน? คำตอบนั้นไม่ได้ซับซ้อน...นั่นคือ เพราะวิธีคิดของคุณ S และทีมงาน อยู่บนมิติที่ต่างกัน...

Post#4-007: ย่ำเท้าอยู่กับที่

Post#4-007: วันนี้ช่วงบ่าย ผมมีนัดไปประชุมกับบริษัทที่ผมเคยทำงานอยู่ด้วยเมื่อสิบกว่าปีก่อน และก็เหมือนเช่นหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ที่ผมจะได้เจอกับเพื่อนร่วมงานเก่าๆ มากหน้าหลายตา บางคน จากเคยตำแหน่งเล็กๆ มาวันนี้ก็เติบใหญ่ขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูง...ซึ่งผมก็ชื่นชมและยินดีไปกับพวกเค้าด้วย แต่กับบางคน เมื่อสิบกว่าปีก่อนตำแหน่งอะไร ปัจจุบันนี้ก็ยังทำตำแหน่งนั้นอยู่เหมือนเดิม...ซึ่งผมคิดว่า มีบางอย่างไม่ปกติ ... นึกภาพออกมั๊ยครับ...อีก 5-10 ปีข้างหน้า เราจะทำอะไรหาเลี้ยงชีพ? ยังอยู่ที่เดิมและตำแหน่งเดิม หรือยังอยู่ที่เดิมแต่ก้าวหน้าขึ้น? ยังทำงานตำแหน่งเดิมแต่เปลี่ยนบริษัท หรือก้าวไปเป็นเจ้าของกิจการ? หรือยังอยู่ตำแหน่งเดิมบริษัทเดิม ยังไงก็ยังงั้น...ขี้คร้านจะเปลี่ยนแปลงและไม่คิดจะเปลี่ยนไป? ... ผมยังคงต้องย้ำว่า หากคุณทำงานที่เดิมในตำแหน่งเดิมเป็นเวลานับสิบๆ ปี ได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลย...นั่นแปลว่า มีบางอย่างผิดเพี้ยนไป ไม่บริษัทนั้นผิดปกติ...ก็ถึงเวลาที่ตัวคุณเองจะต้องทบทวนตัวเองเป็นอย่างมาก ลองเปรียบเทียบกับการเดินทางไกลดูก็ได้ครับ...ทุกคนออกเดินทางไปข้างหน้ากันหมด ...

Post#4-006: ความแพ้พ่ายที่น่าอดสู

Post#4-006: หลายๆ ท่านคงพอจะทราบวีรกรรมของชาวบ้านบางระจันกันมาบ้างนะครับ? แล้วเคยได้ยินเรื่อง ทัพหน้าซึ่งนำโดยซุนเกี๋ยน เมื่อคราวที่โจโฉชูธงเชิญ 18 หัวเมืองมารวมตัวกันภายใต้การนำของอ้วนเสี้ยว เพื่อขับไล่ตั๋งโต๊ะ หรือไม่ครับ? ทั้ง 2 เรื่อง 2 สัญชาติ ต่างพูดถึงความกล้าหาญในการต่อสู้กับข้าศึกที่พร้อมมูล แต่ตัวเองต้องเผชิญกับสภาพที่ไม่พร้อมรบเอาเสียเลย ตอนจบของการรบ, ตัวเอกของทั้ง 2 เรื่องนี้ พ่ายแพ้ยับเยินทั้งหมด และกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่เล่าขานกันต่อๆ มา ... ในชีวิตจริง...เราเคยเผชิญกับสภาพการณ์แบบนี้บ้างมั๊ยครับ? เป็นต้นว่า ต้องออกไปเจรจาธุรกิจ แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากเจ้านาย, เบิกค่าเดินทางยังไม่ได้เลย หรือเช่นฝ่ายขายอยากส่งสินค้าให้ลูกค้า...แต่ดันมาติดแค่ว่า ฝ่ายคลังบอกไม่อยากทำ OT เรียกว่า เราอยากหวังผลเลิศ...แต่ต้องมาสะดุดเพราะเหตุปัจจัยที่ไม่น่าจะเป็น หรือโดนปัดแข้งปัดขาจากคนกันเอง...ซะอย่างงั้น ... ดังนั้น ก่อนจะมีชัยเหนือศัตรู จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีชัยเหนือฝ่ายเดียวกันให้ได้อย่างเด็ดขาดเสียก่อน การออกรบโดยต้องเผชิญทั้งศึกนอกกับศึกในไปพร้อมๆ กันนั้นน่ะ....

Post#4-005: มันใช่จริงๆ ใช่มั๊ย?

Post#4-005: ว่ากันที่จริงแล้ว...ผมก็เป็นเหมือนผู้คนส่วนใหญ่ที่ชอบช้อบปิ้งมาก ลองสังเกตดูแล้วพบว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ในอารมณ์เบิกบานหรืออารมณ์มัวขุ่น...เราก็สามารถใช้การช้อบปิ้งมาบำบัดอารมณ์ได้เสมอ และไม่ว่าจะช้อบปิ้งจริงๆ หรือจะเป็นแค่วินโดร์ช้อบปิ้ง...ก็ให้ผลไม่ต่างกันมากนัก ... ผมไม่แน่ใจว่า ใครมีประสบการณ์แบบนี้บ้างมั๊ย...ตรงที่เมื่อตั้งใจจะซื้อ มักไม่ได้ซื้อ และเมื่อตั้งใจจะไปเดินชิลล์ๆ โฉบฉาย มักจะได้ซื้อ เรียกว่าเป็นเรื่องตลกของการช้อบปิ้ง...ประมาณนั้น แต่ได้ลองถามตัวเองมั๊ยครับ ว่าของที่เราไม่ตั้งใจจะไปซื้อ แต่ลงท้ายด้วยการซื้อนั้น...จริงๆ แล้วเป็นของที่เราต้องการแน่ๆ ใช่มั๊ย? ... บ่อยครั้งที่เราปล่อยให้สภาพแวดล้อมมาทำให้การตัดสินใจของเราไขว้เขวไป...เช่นเดียวกับการซื้อของที่ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อ พอกลับมาถึงบ้าน...เปิดถุงออกมาดู หยิบชุดออกมาลอง แล้วเราก็อาจจะถามตัวเองว่า "ซื้อมาทำไมหนอ?" ไม่ว่าจะซื้อเพราะมันถูก, ซื้อเพราะเพื่อนยุ, ซื้อเพราะเกรงใจพนักงานขาย, ซื้อเพราะของแถม หรือซื้อเพราะเหตุปัจจัยอื่นๆ ก่อนจะตัดสินใจสุดท้าย...ต้องถามตัวเองแน่ๆ ว่า "...

Post#4-004: สำนึกในหน้าที่

Post#4-004: ผมตื่นแต่เช้าเพราะมีนัดประชุมกับทีมงานและ Outsource เพื่อเคลียร์ประเด็นที่เข้าใจไม่ตรงกันมากมายหลายเรื่อง หลักใหญ่ใจความก็เกิดจากต่างฝ่ายต่างก็เปลี่ยนจากการทำงานตามกติกาที่วางไว้ กลายเป็นทำงานตามที่ตัวเองสะดวก นี่ไม่ใช่ปัญหาใหม่...แต่เป็นปัญหาคู่ชาติที่พบเจอได้ในทุกขนาดขององค์กรและทุกประเภทธุรกิจ ... ถามว่า ทำไมจึงเป็นแบบนี้? คำตอบนั้นก็แสนจะตรงไปตรงมาครับ...นั่นก็คือ ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่า "เพราะมันง่ายดี" ง่ายสำหรับเรา...โดยที่ไม่ใส่ใจเลยว่าจะยากสำหรับใคร ง่ายดีกับการจัดการงานที่อยู่ตรงหน้าให้พ้นๆ ไป...โดยไม่แคร์ว่า สุดท้ายก็ต้องแก้ไขสิ่งที่ทำลงไปอยู่ดี ... บ่อยครั้งและมากหน ที่ปัญหาเกิดขึ้นอย่างไม่น่าจะเกิด เพียงเพราะ... ไม่มีการพูดคุยกัน เมื่อมีใครอยากจะเปลี่ยนแปลงขั้นตอนการทำงาน...ต่างฝ่ายต่างก็คิดว่า เปลี่ยนแปลงนิดๆ หน่อยๆ คงไม่เป็นไรหรอก ไม่มีใครคิดอยากจะแก้ไขข้อผิดพลาด...มีแต่การพร่ำบ่นและชี้ว่า ความผิดพลาดนั้นไม่ได้เกิดจากฝ่ายตน เหล่านี้เพราะไม่มองไปถึงต้นสายและปลายเหตุ...วางขอบเขตเฉพาะงานที่ผ่านมาตรงหน้าเท่านั้น ... ลองนึกภาพโรง...

Post#4-003: ครอบครัวที่สองของเรา

Post#4-003: ช่วงเช้าวันนี้ ผมอมยิ้มไม่หุบ เหตุเพราะลูกน้องท่านหนึ่งจำเป็นต้องหอบลูกมาทำงานด้วย แม้หน้าตาของผมจะออกไปทางแนวฆาตกรโหด...แต่จริงๆ แล้ว ผมชอบเด็กมากๆ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง เพราะ remind ให้ผมนึกถึงตอนที่ลูกสาวยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ ถ้าไม่ใช่วันที่จะมีแขกมาประชุมที่ office แล้วล่ะก็, เอาจริงๆ ผมไม่เคยห้ามให้พนักงานหอบลูกจูงหลานมาเลี้ยง เพราะเข้าใจดีว่า ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ใครจะอยากพาเด็กมาทำงาน ... แต่ละ office ต่างก็มีบริบทแวดล้อมไม่เหมือนกัน...ดังนั้น จึงแปลว่า เรื่องที่บาง office ทำได้ แต่กับอีก office นึง อาจกลายเป็นเรื่องต้องห้าม ทางที่ดีจึงต้องศึกษาให้ดีก่อน...อย่าเอาความเคยชินหรือความจำเป็นของตัวเองเป็นตัวตั้งเพียงอย่างเดียว เพราะคนที่หยวนๆ ก็มี ส่วนคนที่รักษาสิทธิ์ของตัวเองก็มีอยู่มาก...จะทำอะไรก็ควรเคารพสิทธิ์ของคนอื่นด้วย ... บาง office ที่ผมเคยได้ยินได้ฟังมา (น่าจะอยู่ในประเทศเกาหลี) ถึงกับจัดให้มี Nursery อยู่ใน office เลยทีเดียว (คงจะเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่มาก)...ซึ่งถ้าวันหนึ่ง ผมสามารถทำแบบเดียวกันได้ ผมจะไม่ลังเลเลย หรือหากพนักงานจำเป็นต้องลาไปดูแลค...

Post#4-002: คนเก่าไป...คนใหม่มา

Post#4-002: ช่วงนี้ผมมีนัดสัมภาษณ์พนักงานถี่หน่อย เพราะกำลังอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนองค์กร...คนเดิมๆ ก็คิดจะขยับขยาย เพื่อไปแสวงหาความท้าทายใหม่ๆ แม้มันจะเป็นเรื่องเศร้าที่เห็นน้องๆ ที่ลำบากมาด้วยกัน ต้องเดินจากไป... แต่อีกใจหนึ่งก็ยินดีกับน้อง ที่ไม่เกรงกับความท้าทายที่กำลังจะต้องพบเจอ ... ประโยคหนึ่งที่ผมมักจะถาม ในวันที่น้องๆ มาขอลา ก็คือ "คิดดีแล้วใช่มั๊ย?" ที่ถามเพราะต้องการให้มั่นใจว่า น้องได้คิดถี่ถ้วนแล้ว...และเปิดโอกาสให้ถอยกลับ ถ้ายังไม่มั่นใจจริงๆ บางคนก็อาจจะตัดสินใจผิดๆ เพราะวิ่งตามความโลภไปโดยขาดความยั้งคิด...นึกว่าได้เงินเดือนมากขึ้น จะเป็นการตัดสินใจที่ดีและถูกต้อง บางคนก็อยากลาออก เพียงเพราะไม่ถูกกับเพื่อนร่วมงานแค่บางคน...แต่ดันลืมคิดถึงเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ และเจ้านาย ที่รักและเอ็นดูเค้า ... ว่ากันโดยสัตย์จริง...ผมไม่เคยโกรธน้องๆ ที่ขอลาออกอย่างเหมาะสมและสง่างาม จะมีก็แค่อาลัยและอาดูรเล็กๆ ก็เท่านั้น ส่วนคนที่ลาออกแบบไร้ซึ่งความรับผิดชอบ...คงไม่มีคุณค่าพอให้กล่าวถึง ...ใครที่มั่นใจกับการเดินทางครั้งใหม่...ก็ขออวยชัยให้โชคดีและประสบความสำเ...

Post#4-001: เลือก "มั่นคง" หรือ "ท้าทาย"?

Post#4-001: เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ผมโทรไปหาอดีตลูกน้องท่านหนึ่ง เพื่อสนทนากันเล็กน้อยเกี่ยวกับงานที่มีคนชวนเธอไปทำ ว่ากันตามจริง คงมีบ้างบางครั้งที่เราอาจต้องเลือกระหว่างงานที่ "มั่นคง" กับงานที่ "ท้าทาย" และไม่มีใครบอกได้ว่า แบบไหนเป็นคำตอบที่ถูกต้องกันแน่? ... ถ้าหากคุณอายุยังน้อย และไม่มีภาระมากมายนัก อีกทั้งรับได้หากต้องตกงาน, คุณควรเลือกความท้าทายกับงานที่คุณชอบ แต่หากคุณมีภาระเยอะแยะมากมาย, คุณก็ควรต้องคิดให้มากขึ้นอีกนิด ว่ารับได้มั๊ยกับการต้องมาวิ่งหางานใหม่ หากว่าความท้าทายครั้งนี้เกิดผิดพลาดขึ้นมา แต่คุณต้องจำไว้...ว่ายิ่งคุณแก่ตัวขึ้นเท่าไหร่ เคยชินกับสภาพเดิมๆ มากขึ้นเท่าไหร่, ความกระหายของคุณก็จะลดน้อยถอยลงไปเท่านั้น ... ไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าคุณเลือกจะปลอดภัยอยู่กับงานที่คุณทำ... หากแต่จริงๆ แล้วคุณอาจไม่ได้กำลังปลอดภัยอย่างที่คิด เพราะคุณเลือกที่จะอยู่กับงานที่คุณไม่ได้ชอบ แต่ต้องทำเพราะมันเลี้ยงชีพคุณได้ นั่นแปลว่า ถ้าวันหนึ่งมีคนที่รักงานที่คุณทำอยู่มากกว่าคุณ...คุณก็มีอันจะไม่ปลอดภัย ... แต่ถ้าคุณรู้ว่าคุณกำลังจะได้ท้าทายกับง...

Post#3-365: ดอกน้ำใจได้เบ่งบาน

Post#3-365: เช้าวันนี้ ผมมีโอกาสได้ไปมอบรางวัลเล็กๆ ให้กับทีมขายขององค์กรขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง (ซึ่งเป็นลูกค้าของผม) เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดความคึกคักในการขาย ยังจำบริษัทของพี่ B (ที่ผมเล่าถึงใน Post#3-329) ได้มั๊ยครับ?...นั่นล่ะครับ องค์กรขนาดยักษ์ที่ผมกำลังหมายถึง กว่าจะมาถึงวันนี้...ผมบอกได้เลยครับ ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องผ่านปัญหาและอุปสรรคมามากมาย ต้องวางแผน, ลงมือ, แก้ไข และปรับปรุง มานับครั้งไม่ถ้วน...แก้ปัญหาจบไปหนึ่งเรื่อง ก็จะมีเรื่องใหม่ๆ มาท้าทายเสมอ ... ผ่านมาหลายเดือน, แม้ปัญหาที่เกิดขึ้นจะยังคงมิซ่างซา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมาคู่กันก็คือมิตรภาพและความผูกพัน แม้จะมีทั้งเรื่องที่ทำให้ขุ่นข้องหมองใจและเข้าใจกันผิด...แต่ต่างฝ่ายต่างก็ประคับประคองเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายร่วมกัน ผมรู้สึกได้ถึงการต้อนรับให้ผมและทีมงาน...ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมงานของพี่ B อย่างไม่มีกำแพง ... นับเกือบจะ 20 ปีที่ผมทำงานมา...ต้องยอมรับว่า ยังไม่เคยเจอ "ลูกค้า" ที่มีความจริงใจและให้โอกาส กับคู่ค้า ได้มากเช่นนี้ มาก่อน ผิดพลาดก็ไม่ได้ซ้ำเติม, แต่ชวนหารือถึงแนวทางแก้ปัญหา ม...

Post#3-364: ประชุมกับคู่ค้า

Post#3-364: บ่ายที่ผ่านมา ผมและทีมงานใช้เวลาประชุมร่วมกับคู่ค้า ในเรื่องแผนการผลักดันยอดขาย กันอยู่นานมากทีเดียว หลังจากที่เราทดลองขายสินค้าในบางสาขา แล้วพบว่า มีความเป็นไปได้ที่จะขยายผล, เราจึงมีการทำงานร่วมกับคู่ค้าอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายจัดซื้อ, ฝ่ายการตลาด และรวมไปถึงฝ่ายขาย จำเป็นจะต้องเข้าใจแผนงานถูกต้องตรงกันกับคู่ค้า...มิฉะนั้น เป้าหมายก็จะไม่สำเร็จ ... หลายต่อหลายหน...เรามักพบเห็นความล้มเหลวในการทำงานเป็นทีมได้ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่เป็นปัญหาภายในของทุกองค์กร เป็นต้นว่า ฝ่ายการตลาดออก campaign ส่งเสริมการขาย, มีการโฆษณาให้กับลูกค้ารับทราบแล้ว...แต่ปรากฏว่า ฝ่ายจัดซื้อไม่ได้เตรียมสินค้าไว้มากพอต่อความต้องการของลูกค้า หรือฝ่ายจัดซื้อตกลงทำรายการลดราคาสินค้ากับคู่ค้าแล้ว แต่ปรากฏว่าฝ่ายการตลาดไม่ทราบเรื่อง รวมไปถึงฝ่ายขายก็ไม่ทราบขั้นตอนการทำงาน แน่นอนว่าความผิดพลาดเหล่านี้ ล้วนส่งผลให้ลูกค้าไม่ได้รับความพึงพอใจ...ซึ่งส่งผลโดยตรงให้ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ ... แม้ว่าเรามิอาจจะทำให้ปัญหาความเข้าใจไม่ตรงกัน กลายเป็นศูนย...

Post#3-363: ทำงานหลายอย่าง...ต้องรู้จักแยกแยะทุกอย่าง

Post#3-363: แม้ว่าจริงๆ แล้ว คนเราจะมีความสามารถที่จะทำอะไรได้หลายๆ อย่างพร้อมๆ กันก็ตาม...แต่ก็น่าจะดีกว่าที่เราจะทำอะไรให้เสร็จเป็นอย่างๆ ไป หรือไม่หนอ? ผมกำลังชวนคุยเรื่องการทำงานหลายๆ อย่างพร้อมๆ กันของชาวพนักงาน office นั่นล่ะครับ ...เช่น วันธรรมดาทำงานประจำ, กลางคืนเล่นดนตรีตาม pub ส่วนวันหยุดไปขายของตลาดนัด...แบบนี้ ทั่วๆ ไปก็จะเรียกว่า ทำหลายอย่างพร้อมๆ กัน แม้ว่าที่จริง เราควรเรียกว่า มันคือการ "จัดสรรเวลาสำหรับทำงานหลายๆ อย่าง" เสียมากกว่า ... หากเรามิได้นำเวลาของงานประจำมาใช้ในการคิดหรือทำงานเสริม...ผมก็เห็นว่า ไม่ได้เป็นเรื่องผิดแต่อย่างใด ตราบเท่าที่แยกแยะเวลาได้...ไม่ใช่มาแต่งเพลงในเวลางานประจำ หรือแว่บงานไปซื้อของเพื่อเตรียมขายวันหยุด แต่เท่าที่พบเจอนั้น...โดยมากมักไม่ค่อยรู้จักที่จะแยกแยะ เลยทำเรื่องส่วนตัวในเวลางานได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ...ไม่อยากจะฟันธงเลยครับ ว่าคงเพราะคิดว่า งานประจำน่ะ จะยังไงก็ได้ จะเสร็จหรือไม่ก็ไม่เดือดร้อน เพราะยังไงเสีย สิ้นเดือนก็รับเงินแน่ๆ ... ที่จริงแล้ว สำนึกผิดชอบชั่วดี ก็ทำหน้าที่เตือนสติเราอยู่แล้ว...แต่...

Post#3-362: ปลาเร็วกินปลาช้า

Post#3-362: เช้านี้ผมมา Breakfast Meeting กับนักธุรกิจใหญ่ชาวต่างชาติ ที่ผมมีโอกาสได้ทำงานด้วย ต้องถือว่า เป็น Breakfast Meeting ที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกครั้งหนึ่งของผม เพราะทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกของธุรกิจ ชนิดที่ทำ Market Survey ยังไง ก็ไม่มีทางได้มา ในยุคก่อนสมัยก่อน...เราคงคุ้นเคยกับ "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก" จนเจ้าสัวใหญ่ท่านหนึ่งออกมาแสดงวิสัยทัศน์ว่า ยุคนี้สมัยนี้ ต้อง "ปลาเร็วกินปลาช้า" ต่างหาก แปลว่า จะเป็นปลาเร็วกินปลาช้าได้ ก็จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องรู้ข้อมูลเชิงลึกเร็วกว่าคนอื่นๆ ... จาก Economy of Scale ในยุคก่อนๆ...มาถึงปัจจุบันนี้ กลายเป็น Economy of Speed นั่นแปลว่า เราใส่ใจกับ Cost to Market น้อยลง แต่หันไปสู่ Time to Market กันมากขึ้น ถ้าสามารถนำเสนอสินค้าที่มีความแตกต่างได้เร็วกว่าคนอื่นๆ นั่นย่อมหมายถึงเรามีโอกาสชิงจังหวะการเป็นผู้นำ... และหากสินค้าของเรามี Uniqueness สูง ก็ย่อมจะทำให้เรามี Barrier บางอย่าง ที่เอื้อให้เราสามารถวิ่งเข้าไปสู่ Economy of Scale ได้ในภายหลัง โดยที่คู่แข่งได้แต่มองตามตาปริบๆ สำคัญแต่ที่ว่า เราจะหาความจุดต่างหร...

Post#3-361: ไม่อยากดูโง่...อาจกลายเป็นโง่จริงๆ

Post#3-361: มีผู้คนจำนวนหนึ่ง (ซึ่งผมคาดว่าเป็นคนส่วนใหญ่) ที่มักไม่ชอบแสดงให้คนอื่นรู้ว่าตัวเอง "ไม่รู้" ที่เป็นแบบนั้น เพราะตัวเองไม่ต้องการจะ "ดูโง่" หรือ "เสียฟอร์ม" แต่เจ้าตัวกลับไม่เคยคิดว่า ด้วยความกลัวจะไม่ฉลาดหรือเสียฟอร์มที่ว่า อาจจะส่งผลเสียต่อคนอื่นๆ ได้อย่างมากมาย ... ผมเองก็มีลูกน้องหลายๆ คนที่ยังมีทัศนคติแบบที่ว่ามาข้างต้น ที่เป็นประเภท "ไม่อยากเสียฟอร์ม...ไม่ยอมเสียหน้า...ไม่กล้าถามไถ่...ไม่ให้ดูโง่" แล้วก็เลยทำงานไปทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เข้าใจ หรือทำไปแบบเข้าใจผิดๆ...ซึ่งส่งผลให้งานต้องมีอันสะดุดและเสียหายแบบไปกันใหญ่ ท้ายที่สุดแล้ว...จากแค่กลัว "เสียหน้า" ก็เลยกลายเป็น "เสียงาน" และจาก "ไม่อยากดูโง่" เลยกลายเป็น "คนโง่แบบเต็มตัว" ต้องขออภัย...ที่ผมใช้คำว่า "โง่" เพราะถือว่า ความกลัวเสียฟอร์มนั้นน่ะ ถือเป็น "การกระทำที่ไม่สมควรที่เกิดขึ้นอย่างจงใจ" ... ขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้...เพื่อทำความเข้าใจกับ "พวกห่วงฟอร์ม" เสียใหม่ครับ การแสดงออกว่า เ...

Post#3-360: คำตอบแว่บแรก

Post#3-360: คำถามที่ผมจะถามต่อไปนี้...ขอคำตอบแบบแว่บแรกที่เข้ามาในหัว มาตอบเลยนะครับ... ระหว่างคนวิ่งกับคนขี่จักรยาน ใครจะเร็วกว่ากันครับ? ระหว่างช้อนส้อมกับตะเกียบล่ะครับ อะไรใช้จัดการกับอาหารได้ดีกว่ากัน? แล้วถ้าคนตาเหล่แข่งปาลูกดอกกับคนตาดี ใครจะชนะ? ... หลายคนน่าจะตอบว่า คนขี่จักรยานย่อมเร็วกว่าคนที่เดิน, ช้อนส้อมน่าจะจัดการกับอาหารได้ดีกว่าตะเกียบ ...และคนตาเหล่จะเอาอะไรมาสู้กับคนตาดี? แต่บางครั้งหรือบางสถานการณ์...มันจะเป็นอย่างนั้นเสมอไปหรือเปล่านะ? ... ถ้าผมลองถามคำถามใหม่ ว่า... ถ้าแข่งกันในระยะทาง 20 เมตร, คนวิ่งหรือคนขี่จักรยาน จะเร็วกว่า? ถ้าต้องทานบะหมี่แห้ง, คุณคิดว่าจะใช้ช้อนส้อม หรือตะเกียบ? ถ้าคนตาเหล่ปาลูกดอกจากระยะ 2 เมตร แข่งกับคนตาดีปาลูกดอกจากระยะ 10 เมตร, คุณว่าใครจะแม่นกว่ากัน? ... เชื่อว่า คำตอบแว่บแรกที่หลายคนจะเลือกตอบ...ย่อมต้องมีสัดส่วนที่เปลี่ยนไปเป็นแน่! ชีวิตจริงของคนเรา ก็มักจะเจอเรื่องแบบนี้...ตรงที่เรามักตัดสินผู้คนหรือเรื่องราวจากความเคยชินและข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน จนทำให้บางครั้ง คนเราตัดสินใจผิดพลาดอย่างไม่น่าจะเป็น ...