Skip to main content

Post#4-001: เลือก "มั่นคง" หรือ "ท้าทาย"?

Post#4-001:
เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ผมโทรไปหาอดีตลูกน้องท่านหนึ่ง เพื่อสนทนากันเล็กน้อยเกี่ยวกับงานที่มีคนชวนเธอไปทำ

ว่ากันตามจริง คงมีบ้างบางครั้งที่เราอาจต้องเลือกระหว่างงานที่ "มั่นคง" กับงานที่ "ท้าทาย"

และไม่มีใครบอกได้ว่า แบบไหนเป็นคำตอบที่ถูกต้องกันแน่?

...

ถ้าหากคุณอายุยังน้อย และไม่มีภาระมากมายนัก อีกทั้งรับได้หากต้องตกงาน, คุณควรเลือกความท้าทายกับงานที่คุณชอบ

แต่หากคุณมีภาระเยอะแยะมากมาย, คุณก็ควรต้องคิดให้มากขึ้นอีกนิด ว่ารับได้มั๊ยกับการต้องมาวิ่งหางานใหม่ หากว่าความท้าทายครั้งนี้เกิดผิดพลาดขึ้นมา

แต่คุณต้องจำไว้...ว่ายิ่งคุณแก่ตัวขึ้นเท่าไหร่ เคยชินกับสภาพเดิมๆ มากขึ้นเท่าไหร่, ความกระหายของคุณก็จะลดน้อยถอยลงไปเท่านั้น

...

ไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าคุณเลือกจะปลอดภัยอยู่กับงานที่คุณทำ...

หากแต่จริงๆ แล้วคุณอาจไม่ได้กำลังปลอดภัยอย่างที่คิด เพราะคุณเลือกที่จะอยู่กับงานที่คุณไม่ได้ชอบ แต่ต้องทำเพราะมันเลี้ยงชีพคุณได้

นั่นแปลว่า ถ้าวันหนึ่งมีคนที่รักงานที่คุณทำอยู่มากกว่าคุณ...คุณก็มีอันจะไม่ปลอดภัย

...

แต่ถ้าคุณรู้ว่าคุณกำลังจะได้ท้าทายกับงานที่คุณชอบ...คุณก็จำต้องทบทวนให้ถ้วนถี่ เพราะงานที่ชอบไม่ได้มาให้เลือกได้ทุกวัน

และหากได้ทำงานที่ชอบ...แปลว่าทุกวันเราแทบจะไม่ได้ทำงาน แต่กำลังจะมีโอกาสได้ทำสิ่งที่ชอบในทุกวัน

ยังไงก็ต้องพิจารณาเรื่องปากท้องด้วยครับ...ไม่ใช่เจองานที่ชอบแต่เลี้ยงชีวิตไม่ไหว แบบนี้ก็ไม่ไหว

...

ตกลงผมเชียร์ให้เลือก "มั่นคง" หรือ "ท้าทาย" กันแน่...หลายท่านคงสงสัยในใจ?

ก็ตอบแบบกำปั้นทุบดินนั่นล่ะครับ...ว่าชีวิตของใคร คนนั้นก็ต้องเลือกเอง

แต่...เรากำลังคิดว่าปลอดภัย ทั้งที่อยู่บนความไม่มั่นคง หรือเรากำลังจดจ่ออยู่กับความท้าทาย ทั้งที่มันไม่น่าจะปลอดภัย...กันเอ่ย?

...

เอาให้ง่ายขึ้นหน่อย...ลองถามตัวเองครับ...

ระหว่างเงินกับความสุขใจ...อะไรจำเป็นกับเรามากกว่ากันในตอนนี้?

ระหว่างงานที่ชอบแต่ได้เงินน้อยกว่า กับงานที่ไม่ใช่แต่ได้เงินมากกว่า...เราอยากได้แบบไหน?

ระหว่างตกงานเพราะเลือกผิดตอนนี้ แต่ยังมีโอกาสได้แก้ตัว กับตกงานแล้วไม่มีโอกาสได้เลือกอีกในวันข้างหน้า เพราะแก่เกินกว่าจะล้มเหลวแล้ว...เราอยากได้แบบไหน?

...คิดให้ถ้วนถี่ก่อนตัดสินใจ...และเมื่อตัดสินใจได้แล้ว ก็จงมั่นคงต่อการตัดสินใจนั้น...

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...