Skip to main content

Post#4-010: Resilience

Post#4-010:
หลัง Board Meeting เมื่อเช้านี้, ผมพบตัวเองอยู่ใน Seminar หนึ่ง ที่ผู้ถือหุ้นของผมจัดขึ้น

ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยได้ update องค์ความรู้ของตัวเองในเรื่อง Leadership มากนัก...เพราะมีภารกิจต่างๆ ค่อนข้างมาก

ครั้งนี้จึงนับเป็นโอกาสดี ที่ได้มาเติมความรู้เข้าคลัง โดยครั้งนี้ Coach ได้เลือกหัวข้อ Resilience (แปลว่า "ความรู้จักยืดหยุ่น") มาเล่าให้ฟัง

...

ในสภาพแห่งความผันผวนทางเศรษฐกิจแบบนี้ Coach ตั้งคำถามว่า ผู้ที่เป็นผู้นำองค์กรจะต้องคิดให้รอบคอบว่า จะนำพาองค์กรฝ่าวิกฤตไปได้อย่างไร?

ผู้นำจึงอาจจะต้องมีหรือต้องขัดเกลาทักษะหลายๆ อย่าง เพื่อนำองค์กร...และหนึ่งในทักษะที่ควรต้องมี ก็คือ Resilience



Coach เล่าว่า ความจริงแล้วเราเกิดมาพร้อมๆ กับ Resilience แต่เมื่อเราเติบโตขึ้น เรามักจะถูกลดทอนเรื่อง Resilience นี้ จากหลายๆ ปัจจัย

หนึ่งในปัจจัยที่ว่า ก็คือ Ego และ Experience นั่นเอง

การที่เราจะมี Resilience ในระดับสูงได้ เราจำเป็นจะต้องพัฒนาองค์ประกอบ 3 ตัว ให้เข้มแข็ง...ซึ่งได้แก่

Authenticity แปลว่า ความเป็นเนื้อแท้

Adaptability แปลว่า ความสามารถในการปรับตัว

และ Creativity แปลว่า ความคิดสร้างสรรค์

...

ผมลองคิดตามไปด้วย ก็ออกจะเห็นด้วยกับ Coach ไม่น้อยเลยครับ

โดยสรุปก็คือ Resilience นั้น ถือเป็นขั้นกว่าของ Adaptability เพราะรวมเอาการวิเคราะห์ปัญหาให้เห็นจริง จากนั้นจึงยอมรับว่าคงต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่ยึดติดกับวิธีการเดิม และจากนั้นก็สร้างสรรค์หาแนวทางรอดให้ได้ด้วยครับ

ขยายความให้มากหน่อย ก็คือ...

หากเราจะต้องยืดหยุ่นหรือผันแปรไปตามสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจให้ได้นั้น...สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือ ต้องมองสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ให้เห็นเนื้อแท้ให้ได้ก่อน

เมื่อมองเห็นสภาพการณ์จริงแล้ว เราจึงจำเป็นต้องหาทางปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ให้ได้...

แม้จะเข้าใจสถานการณ์ดีเพียงใด หากยังยึดติดแบบ "ยอมหักไม่ยอมงอ" ก็ยากที่จะหาทางรอดได้

เมื่อมองเห็นความจริงที่แท้และทำใจยอมรับได้แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องมองหาแนวทางปรับตัว ซึ่งแปลว่า เราจำเป็นจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์มากพอควร...ต้องมองเห็นโอกาสในวิกฤตให้ได้

...ฉะนั้นและฉะนี้ Authenticity, Adaptability กับ Creativity จึงรวมกันเป็น 3 เสาหลักที่นำเราไปสู่ Resilience...

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...