Skip to main content

Post#4-023: ฟุตฟิตฟอไฟ

Post#4-023:
เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา ผมคุยกับลูกน้องคนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษของเธอ

เธอบอกว่า ฟังพี่พูดก็พอรู้เรื่อง แต่ฟังต่างชาติพูดให้รู้เรื่องนี่ก็เหนื่อยยากหน่อย

แน่นอนว่า ฟังผมก็คงพอรู้เรื่องบ้าง เพราะผมพูดอังกฤษแบบ Thai Accent...แต่เท่านี้คงไม่พอที่จะทำให้เธอก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีกว่านี้ได้

...เธอบอกผมว่า เธอล้มเหลวแม้จะพยายามไปเข้า English Course มาแล้วถึง 2 ครั้ง ก็ตาม

...

หลายๆ คนที่เป็นชาว office ยังเข้าใจไม่ชัดเจนถึงการไปเข้า course เรียนภาษาอังกฤษ

มันแตกต่างจากการแค่ไปนั่งเรียนสมัยเรายังเป็นละอ่อน...แบบนั้นคือการเรียนเพื่อสอบ ไม่ใช่เรียนเพื่อนำมาใช้ประจำวัน

ผมยืนยันว่า ถ้าใครคิดจะมาพัฒนาภาษาอังกฤษด้วยการไปเข้า course เรียนนั้นน่ะ...ก็ออกจะ "ไม่ค่อยทันใช้" อย่างแน่นอน

...

วิธีการพัฒนาภาษาอังกฤษที่ได้ผลที่สุด...ไม่มีอะไรดีกว่า การเน้นฟัง, พูด, อ่าน และเขียน "ด้วยการฝึกฝน"

แต่ที่ผมแนะนำเป็นอย่างยิ่งก็คือ ต้องฝึกด้วยตัวเอง "อย่างจริงจัง"...โดยอาจจะหาคนที่เก่งภาษาอังกฤษมากกว่าเรา เป็นผู้ช่วยแนะนำบ้าง

ถ้าไม่จริงจังและทุ่มเทในการฝึก...ก็เป็นอันเลิกหวังว่าจะพัฒนาการใช้ภาษาอังกฤษให้ดีขึ้นได้

ถ้ามัวแต่กลัวที่จะฟัง, อายที่จะพูด, คร้านที่จะเขียน และไม่ขยันฝึกอ่าน...ทำไมถึงจะคิดว่าระดับภาษาอังกฤษของตัวเอง จะดีขึ้นมาได้?

...

ผมเองก็ใช่ว่าภาษาอังกฤษจะดีเลิศ...บ่อยครั้งที่ผมก็ฟังฝรั่งหลายๆ ชาติไม่ค่อยเข้าใจ และมากหนที่ฝรั่งหลายๆ คนก็ฟัง accent ของผมไม่เข้าใจ

แต่ผมก็ไม่หยุดที่จะค่อยๆ อธิบาย, หมดท่าเข้า ผมก็เขียนให้ฝรั่งอ่าน ไม่ก็ใช้ Google Translate เป็นตัวช่วย

ไม่ใช่ว่าผมจะไม่อาย accent ของตัวเองนะครับ, ผมอายมาก...แต่ละอายตัวเองมากกว่า ถ้าจะยกเรื่องความอายมาเป็นอุปสรรคในการสื่อสารให้รู้เรื่อง

...

ส่วนเรื่องการเขียนภาษาอังกฤษให้ได้ดีนั้น...ถ้าไม่เริ่มจากการฝึกอ่านให้มากๆ ก็อยากจะเขียนให้ "ดี" ได้

ยิ่งถ้าเป็นภาษาอังกฤษธุรกิจนั้น ยิ่งต้องเริ่มจากเข้าใจเรื่องที่ต้องการจะสื่อสารให้ชัดเจนก่อน...ไม่งั้นจะเรียบเรียงรูปประโยคได้ไม่ชัดเจน

เขียนจดหมายเป็นภาษาอังกฤษ "ได้" กับเขียน "ดี" นั้น ต่างกันมหาศาลครับ

...

ถ้าวันนี้ไม่มัวแต่กลัวหรือขี้เกียจ...ก็รับรองได้ว่าวันหน้า เราก็มีโอกาสจะเก่งขึ้น

และต้องจำไว้ว่า ไม่สำคัญว่าเราจะเป็นผู้ใช้ภาษาอังกฤษได้ไม่ดีมาแล้วกี่ปี

...แต่สำคัญว่า เราตั้งเป้าจะใช้ภาษาอังกฤษให้ได้ดี ภายในกี่ปีต่างหาก...

#อายตอนนี้ดีกว่าอายตอนแก่ #อย่ากลัวที่จะฟัง #อย่าอายที่จะพูด #อย่าคร้านที่จะเขียน #อย่าขี้เกียจฝึกอ่าน #ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว #แต่ยากเยอะ #เอ๊ะยังไง

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...