Skip to main content

Post#4-018: ปั้นเด็ก

Post#4-018:
เมื่อดึกวานนี้ เราคุยกันถึงเรื่องเด็กปั้น แล้วก็มีน้องรักของผมท่านหนึ่ง มา comment ว่า จะถอดใจในการปั้นเด็กเสียแล้ว

ว่ากันตามจริง สมัยก่อนผู้ใหญ่ก็มักจะเปรยๆ ว่าเด็กรุ่นผมนั้น ไม่ค่อยจะมีน้ำอดน้ำทนเอาเสียเลย สู้คนรุ่นก่อนก็ไม่ได้

มาวันนี้ ผมก็อยากจะพูดเหมือนท่านเหมือนกัน เพียงแต่ขอเพิ่มส่วนขยายไปหน่อยว่า เด็กสมัยนี้ "บางคน" (ซึ่งหวังว่าคงจะเป็นเพียงเด็กส่วนน้อยเท่านั้นนะครับ) ก็รักสบายจนเกินไปจริงๆ

...

ความเชื่อหรือวิธีคิดของมนุษย์เงินเดือนบางคนนั้น มองคุณค่าของตัวเองต่ำจนเกินไป และเข้าใจผิดๆ ว่าเค้ากำลังเอาเวลา 8 ชั่วโมงมาแลกกับเงินค่าจ้าง

ถ้าเป็นแบบนั้นจริง แสดงว่าองค์กรก็ไม่จำเป็นต้องจ้างคนที่มีความสามารถสูงๆ มาทำงาน เพราะเวลาของทุกคนก็ยาวนานเท่ากันหมด

แปลว่า เราก็ควรจ่ายค่าตอบแทนให้กับ CEO น้อยกว่าแม่บ้าน เพราะมีจำนวนชั่วโมงการทำงานน้อยกว่า?

แปลว่า เราก็ควรจ่ายเงินให้คนมาทำงานแต่เช้าและกลับบ้านค่ำสุดมากกว่าทุกๆ คน?

มันใช่แบบนั้นรึเปล่าล่ะครับ?

...

ในความจริงแล้ว เราได้รับค่าตอบแทนจากศักยภาพที่จะสร้างผลตอบแทนทางธุรกิจ และความสามารถที่จะสร้างความก้าวหน้า ให้กับองค์กร ต่างหาก

แปลว่า ที่ถูกแล้ว เราควรทำงานแต่ละอย่างในแต่ละช่วงเวลาที่จัดสรรไว้แล้ว อย่างเต็มที่และเหมาะสม

ไม่ใช่เอาเวลาในช่วงทำงานประจำ มาทำเรื่องส่วนตัว เช่น ครุ่นคิดเรื่องการแต่งเพลง หรือแว่บงานประจำ เพื่อไปซื้อของสำหรับเตรียมขายวันหยุด

...

ที่ผมชี้ประเด็นแบบนี้ ไม่ใช่เพราะจ้องจะจับผิดพนักงานหรอกครับ...แค่สะกิดเตือนคนที่ยังไม่รู้จักแยกแยะให้รู้จักคิดบ้าง ก็เท่านั้น

หรือใครลองบอกผมหน่อยครับ ว่าเคยเจอคนที่ชอบเบียดบังเวลางานประจำไปทำงานอื่นนั้น...หอบงานประจำที่คั่งค้างไปนั่งทำขณะเล่นดนตรี หรือเอาไปทำขณะขายของบ้างมั๊ย?

...

วิธีคิดของคนขาดความรับผิดชอบเหล่านี้ ก็คือ เพราะงานประจำ ตัวเองเป็นฝ่ายรับเงิน...ทำเต็มที่หรือไม่ ก็ได้รับเงิน

เพราะตีความว่า ตนเอาเวลามาแลกกับค่าจ้าง เลยตีความเข้าข้างตัวเองว่า ถ้าตลอด 8 ชั่วโมง ตัวเองอยู่ที่ office ตลอดเวลาก็ใช้ได้แล้ว

อีกวิธีคิดหนึ่งที่ยังไม่ค่อยถูกนัก ก็คือการมาทำงานสายๆ แต่อยู่ชดเชยเวลาให้จนดึกดื่น เพียงเพื่อให้ครบเวลา 8 ชั่วโมง...

ที่จริงน่ะ นอกจากไม่ได้สร้างประโยชน์แล้ว ยังทำให้หลายๆ คนที่เกี่ยวข้องต้องเสียประโยชน์ไปด้วย

พวกที่ตัวมาอยู่ที่ office ทั้ง 8 ชั่วโมง แต่เป็นการมานั่งหายใจทิ้งเพื่อรอสิ้นเดือน รวมไปถึงพวกที่ตัวมา แต่เบียดบังเวลาไปทำงานอื่น...พวกนี้แหละครับ ที่เป็นพวกขาด "จิตสำนึกของความรับผิดชอบ" อย่างรุนแรง

...

ดังนั้น คนที่เป็นหัวหน้างาน หากคิดจะผลักดันหรือปั้นใคร จึงจำต้องดูให้ดี

ตราบเท่าที่เราไม่สามารถปลูกต้นไม้จากเมล็ดพันธุ์ที่เสียได้...ตราบนั้นเราก็ไม่มีทางที่จะปั้นหัวหน้างานที่ดีจากลูกน้องที่แย่ได้

เรียกว่า Garbage in ก็ต้องได้ Garbage out นั่นแหละ...เป็นตรรกะง่ายๆ

...

อดีตนายของผมท่านหนึ่ง สอนผมไว้เป็นหนักหนาว่า เลือกคนมาปั้น ต้องเลือกคนที่มีส่วนผสมของความดีมากกว่าความเก่ง

เพราะคนดีแต่ยังไม่เก่งนั้น เราสอนให้เก่งได้...แต่คนเก่งที่นิสัยไม่ค่อยดีนั้น เรามิอาจที่จะเปลี่ยนวิธีคิดของเค้าได้โดยง่าย

อีกเรื่องที่ต้องทำใจไว้ล่วงหน้าก็คือ แม้จะปั้นเค้ามาอย่างดี หรือแม้จะปลูกต้นไม้นั้นอย่างประคบประหงม...ก็อย่าหวังว่า เค้าจะอยู่กับเราไปตลอด หรือก็อย่าหวังว่าเราจะได้ชื่นชมกับดอกผลที่ลงแรงไว้เสมอไป

...

บ่อยครั้งที่ปลูกต้นไม้แล้วมันกลายพันธุ์ ดังนั้น คนที่เราบ่มเพาะมา ก็อาจจะอยากโบยบินสู่โลกกว้างบ้าง ก็ปกติครับ

งานของเราก็คือ ต้องเลือกเมล็ดพันธุ์ให้ถูก, หมั่นรดน้ำพรวนดิน, กำจัดศัตรูพืชให้บ้าง, ริดกิ่งให้ได้ทรงสวยงามบ้าง, ฯลฯ

...เมื่อบ่มเพาะอย่างเหมาะสมแล้ว ผลลัพธ์จะออกมาน่าภูมิใจหรือไม่ ก็ไม่ต้องกังวลไปครับ...

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...