Skip to main content

Post#3-105: "ทำไม่ผิด" แต่ก็ "ทำไม่ถูก"

Post#3-105:
ผมไม่แน่ใจว่า มีใครเคยตกอยู่ในสถานการณ์ "ทำไม่ผิด" แต่ก็ "ทำไม่ถูก" กันบ้างมั๊ยครับ?

ผมเคยแชร์เรื่องนี้ไว้ครั้งหนึ่งไว้นานมากแล้ว (Post#326)...คราวนั้น ผมยกตัวอย่างเรื่องการจองโรงแรมของลูกน้องคนหนึ่ง

แต่ช่วงหลังๆ มานี้ ผมกลับมีความรู้สึกว่าตัวเองและคนรอบข้างหลายๆ คน กำลังตกอยู่ในภาวะที่ว่าอีกครั้ง...และต้องบอกตรงๆ ว่าผมไม่ชอบเอาเสียเลย กับสถานการณ์ที่บอกได้ไม่เต็มปากว่า คนที่ทำไม่ถูกน่ะคือใครกันแน่

เปล่าครับ...ผมไม่ได้ต้องการจะคาดคั้นหาว่าใครผิด หากแต่ตราบเท่าที่เราไม่รู้ว่าต้นเหตุแห่งความผิดนั้น อยู่ที่เหตุใดและใครเป็นคนก่อให้เกิดขึ้น นั่นก็แปลว่า เราไม่อาจวางแผนป้องกันไม่ให้มันเกิดซ้ำได้

ย้ำไว้ตรงนี้อีกนิดครับ ว่าเมื่อเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ขึ้นแล้วก็ตาม เรื่องสำคัญที่สุดก็ยังต้องเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นๆ ให้ลุล่วงหรือบรรเทาลงไปให้ได้ก่อน หลังจากนั้นแล้วจึงเป็นเวลาของการคิดหาหนทางป้องกันไม่ให้ข้อผิดพลาดที่ว่านั้น เกิดซ้ำอีก

...

อ่านแล้วอาจจะยังงงๆ อยู่...ว่าแล้ว ผมก็ขออนุญาตยก case มาเล่าให้ฟังดีกว่า

ผมคุยกับเพื่อน (สมมติว่าชื่อ A นะครับ) ว่า จะให้เลขาฯ ส่งข้อมูลเบอร์ติดต่อของ Vendor รายหนึ่งให้...แต่แล้ว ผมก็ลืมไปเสียสนิท มารู้อีกที เวลาก็ผ่านไปกว่าสัปดาห์ และกำหนดที่จะต้องส่งงานให้ลูกค้า (ที่เป็นเพื่อนอีกคนของผม - สมมติว่าชื่อ B นะครับ) ก็ใกล้เข้ามาแล้ว

ว่าแล้ว ผมก็โทรหา A เพื่อตามงาน และได้รับคำตอบว่า ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะผมเป็นคนบอกว่า จะให้เลขาฯ แจ้งเบอร์มา แต่ไม่มีใครโทรมานี่...ก็เลยยังไม่ได้ทำอะไร

ผมอึ้ง เพราะตกอยู่ในสภาพจำเลย ทั้งๆ ที่ต้องการช่วยให้เพื่อนทั้ง 2 ฝ่าย ให้ต่างคนต่างได้ประโยชน์ แต่กลับกลายเป็นผมเป็นคนกลางที่ "เอากระดูกมาแขวนคอ" ตัวเอง

...

สารภาพว่า ตอนฟังคำตอบนี้ ผมนี่อยากจะเขกกระโหลกตัวเอง เพราะผมทำไม่ถูก ที่ดันลืมบอกให้เลขาฯ โทรไปบอกเบอร์ฯ ในขณะที่อีกใจหนึ่งก็คิดว่า กะอีแค่เบอร์ฯ ติดต่อ หาใน Web เอง ไม่ได้เชียวหรือ?

ผมไม่ได้พูดเพื่อเข้าข้างตัวเองแต่อย่างใดนะครับ...แต่ว่ากันตามจริง คนที่ต้องรับผิดชอบงานนั้น ต้องเป็นคนขวนขวาย ไม่ใช่ทำงานแบบตั้งรับ ไม่ได้ข้อมูลก็ไม่ดิ้นรนใดๆ แล้วก็โทษว่าเป็นความผิดของคนที่ไม่เอาข้อมูลมาให้

ถ้าเป็นผมเอง การที่ใครรับปากจะหาข้อมูลอะไรให้ แล้วเค้าหายไปเลย อย่างน้อยผมก็ต้องโทรตาม หรือหาวิธีการดิ้นรนเพื่อให้ได้ข้อมูลมาแล้ว...ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดความเสียหายแบบนี้

...

ตัวอย่างข้างต้น...ผมสรุปได้ว่า

ผมทำพลาดต่อ A และทำผิดต่อ B...และนั่น ทำให้ได้รับบทเรียนของการเอากระดูกมาแขวนคอ

แต่สำหรับ A...เค้าทำไม่ผิด...แต่เค้าก็ทำไม่ถูก

...

สำหรับวิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ก็คือ ผมขอโทษ A และสั่งให้เลขาฯ ดำเนินการติดต่อ Vendor รายที่ว่าในทันที และ Vendor ก็จัดการงานเสร็จภายใน 2 วัน

อีกทางหนึ่ง ผมก็ต้องขอโทษ B ที่งานมีอันต้องล่าช้าออกไปอีกนิด...ก็โดนต่อว่าตามระเบียบล่ะครับ...แต่ผมก็เข้าใจ B นะ เป็นผมเองก็ต้องไม่ happy เช่นกัน

หลังงานจบ...ผมรอจนอารมณ์เย็นลง แล้วจึงได้คุยกับ A ได้ถกถึงปัญหา, ประเมินความเสียหาย และจบท้ายด้วยการยังเป็นเพื่อนกันต่อไป

...

ที่แชร์มานี่ เป็นแค่ตัวอย่างเดียวจากหลายๆ กรณีที่ผมเจอในช่วงนี้...

ผมแชร์ไป ก็สอนใจตัวเองไปด้วย ว่าอย่ามัวแต่โทษคนอื่นเค้า เพราะตัวเราเองก็อาจจะกำลัง...

"ทำไม่ผิด" แต่ "ทำไม่ถูก" อยู่ก็เป็นได้

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...