Post#3-86:
ช่วงเย็นวันนี้ ผมมีโอกาสได้ประชุมกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทที่ผมทำงานอยู่ด้วย
ท่านให้ข้อคิดหนึ่งที่ผมคิดว่า อยากให้ลูกน้องทุกคนเอาไปคิดตาม...และหากปฏิบัติตามได้ด้วย ก็จะทำให้ชีวิตของคนนั้นๆ ก้าวหน้าต่อไป
ท่านสอนว่า "จะทำอะไรก็แล้วแต่ที่ส่งผลต่อบริษัทฯ ให้คิดเสมือนว่า ถ้านี่เป็นบริษัทของเรา นี่เป็นเงินลงทุนของเรา เราจะยังทำแบบนี้มั๊ย"
หมายความว่า เราต้องมุ่งมั่นตั้งใจให้มาก ไม่ใช่ทำงานไปวันๆ สิ้นเดือนก็รับเงินเดือน, อะไรไม่ใช่เรื่องในความรับผิดชอบ ก็ช่างปะไร, ขีดเส้นล้อมกรอบสร้าง Silo ของตัวเอง นำมาซึ่งความแตกแยกของแต่ละฝ่าย และอีกมากพฤฒิกรรมที่แย่ๆ...ซึ่งคนที่ทำแต่เรื่องแบบนี้ เจริญได้ยากครับ
...
เมื่อวานผมก็พึ่งจะบ่นไปถึงการทำงานที่เอาแต่ตัวเองรอด คนอื่นจะเป็นยังก็ช่าง...วันนี้ ท่านผู้ใหญ่ก็เตือนไว้ไม่ได้ต่างกันเลย
คนที่อยู่ในสถานะทั้งเป็นลูกจ้างและเป็นทั้งเจ้าของกิจการอย่างผม ย่อมจะกล้าพูดได้เต็มปากว่า ผมเข้าใจดีว่า ผู้ใหญ่ท่านกำลังสั่งสอนอะไรอยู่
...บางครั้งผมจึงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่กึ่งกลางของความขัดแย้งของความเป็น "เจ้าของ" และ "ลูกจ้าง"
และผมก็เข้าใจดีว่า การเข้าใจคนว่าเค้าทำไปเพราะอะไร กับการยอมรับในผลลัพธ์ที่เค้าทำลงไปน่ะ มันเป็นคนละเรื่องกันเลย
...
แน่นอนว่า เราไม่สามารถบอกได้ว่า เมล็ดพันธุ์ไหนเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี จนกว่าเราจะลงมือปลูก...แต่เมื่อปลูกแล้ว เมล็ดนั้นไม่สามารถแตกหน่อออกผลได้ เราจึงจำเป็นต้องคัดทิ้ง เพราะปล่อยไว้รังแต่จะเป็นสิ่งแปลกปลอมในกระถาง
เปรียบได้กับคนที่ได้โอกาสเข้ามาทำงานในองค์กร ที่เราไม่สามารถบอกได้ว่า เค้าเป็นคนดีหรือไม่ เพราะใน CV ก็ไม่ได้บอกเอาไว้...ดังนั้น หากดูแล้วว่าทรงน่าจะดี ก็ควรให้โอกาสเค้ามาทำงาน
หากแต่เมื่อเค้าได้รับโอกาสแล้ว เค้าไม่สามารถจะแตกหน่อออกผลได้อย่างที่บรรยายสรรพคุณเอาไว้...ผมก็ยอมใจร้ายที่จะต้องเชิญเค้าไปทำอย่างอื่น เพราะเค้าไม่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรได้
ส่วนพวกที่ทำตัวเป็นกาฝากในองค์กร...นอกจากจะไม่ใช่เมล็ดพันธุ์ที่ปลูกไม่ขึ้นแล้ว ยังเข้าข่ายเป็น "วัชพืช" ที่ยังประโยชน์ใดๆ มิได้อีกด้วย
ขออภัยถ้าหาก Post วันนี้ อาจจะรุนแรงไปบ้าง...แต่ผมคิดว่า เราไม่ควรให้โอกาส "วัชพืช" ในคราบมนุษย์ ครับ
ช่วงเย็นวันนี้ ผมมีโอกาสได้ประชุมกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทที่ผมทำงานอยู่ด้วย
ท่านให้ข้อคิดหนึ่งที่ผมคิดว่า อยากให้ลูกน้องทุกคนเอาไปคิดตาม...และหากปฏิบัติตามได้ด้วย ก็จะทำให้ชีวิตของคนนั้นๆ ก้าวหน้าต่อไป
ท่านสอนว่า "จะทำอะไรก็แล้วแต่ที่ส่งผลต่อบริษัทฯ ให้คิดเสมือนว่า ถ้านี่เป็นบริษัทของเรา นี่เป็นเงินลงทุนของเรา เราจะยังทำแบบนี้มั๊ย"
หมายความว่า เราต้องมุ่งมั่นตั้งใจให้มาก ไม่ใช่ทำงานไปวันๆ สิ้นเดือนก็รับเงินเดือน, อะไรไม่ใช่เรื่องในความรับผิดชอบ ก็ช่างปะไร, ขีดเส้นล้อมกรอบสร้าง Silo ของตัวเอง นำมาซึ่งความแตกแยกของแต่ละฝ่าย และอีกมากพฤฒิกรรมที่แย่ๆ...ซึ่งคนที่ทำแต่เรื่องแบบนี้ เจริญได้ยากครับ
...
เมื่อวานผมก็พึ่งจะบ่นไปถึงการทำงานที่เอาแต่ตัวเองรอด คนอื่นจะเป็นยังก็ช่าง...วันนี้ ท่านผู้ใหญ่ก็เตือนไว้ไม่ได้ต่างกันเลย
คนที่อยู่ในสถานะทั้งเป็นลูกจ้างและเป็นทั้งเจ้าของกิจการอย่างผม ย่อมจะกล้าพูดได้เต็มปากว่า ผมเข้าใจดีว่า ผู้ใหญ่ท่านกำลังสั่งสอนอะไรอยู่
...บางครั้งผมจึงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่กึ่งกลางของความขัดแย้งของความเป็น "เจ้าของ" และ "ลูกจ้าง"
และผมก็เข้าใจดีว่า การเข้าใจคนว่าเค้าทำไปเพราะอะไร กับการยอมรับในผลลัพธ์ที่เค้าทำลงไปน่ะ มันเป็นคนละเรื่องกันเลย
...
แน่นอนว่า เราไม่สามารถบอกได้ว่า เมล็ดพันธุ์ไหนเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี จนกว่าเราจะลงมือปลูก...แต่เมื่อปลูกแล้ว เมล็ดนั้นไม่สามารถแตกหน่อออกผลได้ เราจึงจำเป็นต้องคัดทิ้ง เพราะปล่อยไว้รังแต่จะเป็นสิ่งแปลกปลอมในกระถาง
เปรียบได้กับคนที่ได้โอกาสเข้ามาทำงานในองค์กร ที่เราไม่สามารถบอกได้ว่า เค้าเป็นคนดีหรือไม่ เพราะใน CV ก็ไม่ได้บอกเอาไว้...ดังนั้น หากดูแล้วว่าทรงน่าจะดี ก็ควรให้โอกาสเค้ามาทำงาน
หากแต่เมื่อเค้าได้รับโอกาสแล้ว เค้าไม่สามารถจะแตกหน่อออกผลได้อย่างที่บรรยายสรรพคุณเอาไว้...ผมก็ยอมใจร้ายที่จะต้องเชิญเค้าไปทำอย่างอื่น เพราะเค้าไม่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรได้
ส่วนพวกที่ทำตัวเป็นกาฝากในองค์กร...นอกจากจะไม่ใช่เมล็ดพันธุ์ที่ปลูกไม่ขึ้นแล้ว ยังเข้าข่ายเป็น "วัชพืช" ที่ยังประโยชน์ใดๆ มิได้อีกด้วย
ขออภัยถ้าหาก Post วันนี้ อาจจะรุนแรงไปบ้าง...แต่ผมคิดว่า เราไม่ควรให้โอกาส "วัชพืช" ในคราบมนุษย์ ครับ
Comments
Post a Comment