Skip to main content

Posts

Showing posts from April, 2018

Post#5-236: ผ่อนสั้นผ่อนยาว

Post#5-236: มีใครเคยได้ยินที่ผู้หลักผู้ใหญ่สอนว่า “ คนเราต้องรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ” กันบ้างมั๊ยครับ ? ที่ถามก่อนก็เพราะ ผมไม่ค่อยจะแน่ใจ ... ว่าเด็กรุ่นใหม่ๆ ยังพอจะเข้าใจสำนวนไทยๆ กันอยู่บ้างมั๊ยหนอ ? งั้นเพื่อให้แน่ใจ ... การผ่อนสั้นผ่อนยาว ก็มีความหมายประมาณว่า คนเราต้องรู้จักรุกบ้างถอยบ้าง หรือประนีประนอมเสียบ้าง นั่นเอง ... ไม้ที่แข็งจนเกินไป ... ล้วนเสี่ยงต่อการแตกหัก ไม้ที่อ่อนเกินไป ... ล้วนนำมาใช้เป็นหลักยึดอันใดมิได้ โบราณจึงมักสอนให้เราเป็นเสมือน “ ไม้ไผ่ ” ที่แม้โอนอ่อนต่อสายลม แต่ก็ยืนหยัดต้านฝนฟ้าได้ ... คนเราก็เช่นกัน ... ต้องแข็งแกร่งสลับยืดหยุ่น ... พลิกผันแปรเปลี่ยนให้ถูกกาละและเทศะ ต้องยึดมั่นในจุดยืน ... แต่ย่อมมิใช่ยึดติดโดยไม่ไตร่ตรอง ... ยิ่งเติบโต ... ยิ่งต้องเรียนรู้ศาสตร์แห่งการประนีประนอม ทั้งกับตัวเองและผู้คนที่แวดล้อมอยู่ ในรุกมีถอย ... ต้องรู้จักตั้งรับยามสืบเท้าไปข้างหน้า เฉกเช่นยามเมื่อเป็นฝ่ายถอย ... ย่อมมิใช่ไร้กลยุทธ์ ยามชนะ ... ไม่ไล่ใครให้จนตรอก และยามพ่ายแพ้ ... ก็ไม่ตีโพยต...

Post#5-235: Alternate Future

Post#5-235: เมื่อวานผมมีโอกาสได้พาครอบครัวไปดู The Avengers: Infinity War มาครับ ไม่ต้องบอกก็รู้ ... ว่าสนุกมาก แน่นอนว่า ตามธรรมเนียมแล้ว เราไม่ควรที่จะเล่าอะไรออกสื่อ เพราะจะเป็นการ spoiled เนื้อเรื่อง ไปเสีย ... แปลกมั๊ยครับ ... ว่าถ้าเป็นภาพยนตร์ จะไม่มีใครต้องการรู้เนื้อเรื่องล่วงหน้า บางครั้ง ถึงกับต้องขอร้อง ... ว่าอย่านะ อย่าเล่า แต่ทำไมพอเป็นเรื่องราวในอนาคตของตัวเราเอง ... เรากลับดิ้นรนขวนขวายไปหาหมอดูให้ทายทักกันยกใหญ่ ที่ไหนว่าแม่น ... เป็นต้องดิ้นรนไป ไป ... ทั้งๆ ที่ไม่มีทางรู้เลย   ว่าอนาคตที่จะได้รับการทำนายทายทักนั้น จะเป็นจริงหรือไม่ ? ... ก็เพราะว่า เราไม่รู้อะไรล่วงหน้านั่นล่ะ ... เวลาไปดูภาพยนตร์ เราจึงสนุกและได้ลุ้นไปเรื่อยๆ แม้จะพอเดาๆ ได้ว่า น่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ก็ยังต้องลุ้นต่อ ... ว่าเนื้อเรื่องจะเหมือนที่คาดเดาไว้มั๊ยหนอ ? ชีวิตจริง ... ก็ไม่ต่างกันนักหรอกครับ ... ดังนั้น ก็อย่าไปมัวกังวลจนเกินเหตุนักเลยครับ บ่อยครั้ง อนาคตก็ไม่เป็นไปตามที่เราเดาไว้ และมีบ้าง ท...

Post#5-234: ชีวิตก็เหมือนเข้า Fitness

Post#5-234: ผมจำไม่ได้เอาจริงๆ ว่าครั้งล่าสุดที่ได้ตามลูกมาเรียนพิเศษนั้น เป็นเมื่อไหร่กันหนอ ? ถ้าจำไม่ได้แบบนี้ ... คงแปลว่า นานพอดู ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ... งานผมยุ่งมากจริงๆ ... ยุ่งจนกระทั่งลืมวันลืมคืนเลย ก็ว่าได้ ... มิใยที่ผมมักจะบอกกับทีมงาน ว่ามันสำคัญมากๆ กับการที่เราต้องสร้าง Work-life Balance หากแต่คงมีหลายๆ คนที่เป็นพวก Workaholic อย่างที่ผมเป็นอยู่ ... และแน่นอนว่า ผู้คนอีกมากมาย ก็เลือกที่จะเป็น Funaholic แบบไหนถูก ... ผมคงไม่ต้องถามกระมังครับ เพราะคำตอบของทุกคนน่าจะย่อมเหมือนกัน ... ว่าต้องเลือก Work-life Balance ... ถึงตรงนี้ อย่าพึ่งตีความผิดๆ ว่า Work-life Balance นั้น แปลว่า เราต้องแบ่งทุกอย่างแบบ “ ครึ่งๆ ” มันไม่ใช่การทำงาน 3 วันครึ่ง และหยุด 3 วันครึ่ง ต่อสัปดาห์ , มันย่อมไม่ใช่การทำงาน 15 วัน แล้วหยุดต่อเนื่องอีก 15 วัน แต่การสร้าง Work-life Balance น่าจะเหมือนการเข้า Fitness เสียมากกว่า คือออกกำลังหนักๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็พัก ... แต่แน่นอนว่าช่วงระยะเวลาที่พัก ต้อ...

Post#5-233: ผิดซ้ำผิดซาก

Post#5-233: วันนี้ผมอารมณ์ไม่ดีเกือบทั้งวัน สาเหตุหลักๆ ก็คือหงุดหงิดที่ทีมงานไม่ปฏิบัติงานตามขั้นตอนที่ตกลงกันไว้ ... ทั้งๆ ที่ มันเป็นงานที่ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แปลว่า เมื่อเวลาผ่านไป ... ก็มีโอกาสสูงที่ทีมงานจะละเลย และออกนอกลู่ที่กำหนด ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ... เอาจริงๆ เรื่องที่ทีมงานส่วนหนึ่งจะเป็นแบบนี้ ... มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ กับทุกองค์กร แล้วทำไมผมยังต้องอารมณ์ไม่ดีอีกล่ะ ? ก็เพราะนอกจากผิดหวังในทีมงาน ที่ทำผิดเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้ว ... มันยังสะท้อนให้ผมรู้ตัวอีกด้วย ... ว่าผมเองก็ยังกำกับดูแลทีมงานไม่ดีพอ เช่นกัน ... เปล่าครับ ... ไม่ได้พูดเอาเท่ แต่ผมอารมณ์ไม่ดีเอาจริงๆ ที่ความผิดพลาดแบบเดิม มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และซ้ำไปซ้ำมา เห็นทีว่า คงต้องยกเครื่องใหม่ทั้งหมด กับวิธีบริหาร , สั่งงาน และติดตามงาน แบบขนานใหญ่ แต่ถ้าผมเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว ... ผลลัพธ์ยังไม่ดีขึ้น ... ก็คงต้องจัดการขั้นเด็ดขาด กับทีมงานที่ผิดพลาดซ้ำๆ ล่ะครับ ... #NoteToSelf: ถ้าเราหมดเวลาไปกับ...

Post#5-232: หน้าอย่าง...หลังอย่าง

Post#5-232: ไม่ต้องบอกทุกคนก็รู้ว่า คนรอบๆ ข้างของเรานั้น ... มีทั้งคนที่รัก และคนที่ไม่ชอบเรา ที่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง ก็ไม่น่าห่วงเท่าไร เพราะเรารับมือได้ง่ายกว่า แต่โดยมากแล้ว เราอาจแยกไม่ออกว่า ใครที่เป็นพวกหน้าอย่างหลังอย่างบ้าง บางคนก็หลอกเราได้สนิทใจ ว่ารักเรา ... แต่ลับหลังก็สับเราเสียเละ ... อย่าพึ่งกังวลใจไปเลยครับ ... เพราะคนแบบนี้ มีอยู่ทุกที่ ทุกสังคม แล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องไปแสดงออกอะไรให้คนพวกนี้รู้ด้วย ... ว่าจริงๆ แล้ว เรา “ รู้ทัน ” ปล่อยให้พวกเค้านึกไปเองว่า กำลังหลอกเราได้อย่างสนิทและแนบเนียน ... ก็แล้วจะรู้ทันได้ยังไงล่ะ ว่าใครหน้าไหว้หลังหลอก หรือหน้าอย่างหลังอย่าง ? ผมเองก็ไม่อาจรู้ได้ 100% ครับ ... ... ได้แต่บอกว่า ก็ต้องหัดสังเกตและประเมินคนรอบข้างอยู่บ่อยๆ ... ช้าหรือเร็ว พิรุธมันก็จะแสดงออกมาเองล่ะครับ ... NoteToSelf: ฉากหน้ายิ้มแย้ม ฉากหลังทิ่มแทง นั้นมีอยู่เยอะ ... ดังนั้น จงเผื่อใจไว้บ้าง เวลาจะทอดสนิทกับใคร ระวังคนที่ดูเหมือนจะดีกับเรามากๆ ... มากจนเกินความพอดี ให้จงหนัก There...

Post#5-231: อยู่ตำแหน่งไหนของแถว

Post#5-231: บ่ายวันนี้ ผมมีโอกาสได้ประชุมทีมผู้บริหารขององค์กรแห่งหนึ่ง ... เกี่ยวกับเรื่องของทิศทางองค์กร ยิ่งองค์กรมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าใด ... เรื่องของทิศทางขององค์กร ก็เป็นเรื่องยากขึ้นเท่านั้น เพราะการทำให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจในเป้าหมายเดียวกัน เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย ... และต่อให้เข้าใจเป้าหมายแล้ว ก็ใช่ว่าทุกคนจะใช้เส้นทางเดียวกัน ไปสู่เป้าหมายนั้นๆ ... ลองคิดภาพของกองทหารในพิธีสวนสนาม ดูก็ได้ครับ ถ้าหัวแถวเลี้ยวขวากระทันหันโดยไม่ให้สัญญาณหรือให้สุ้มให้เสียง ... คิดว่าคนที่เดินตามมา จะเป็นยังไง ? หรือต่อให้ตะโกนบอกว่าจะเลี้ยวขวาแล้วนะ ... แต่คนที่เดินตามมัวแต่เหม่ออยู่ ก็เป็นอันเสียรูปขบวนแน่ๆ ยกตัวอย่างให้ชัดขึ้นอีกนิด ... คิดว่าถ้าเปลี่ยนเป็น “ เกมบอกต่อ ” จากหัวแถวไปถึงหางแถวน่ะ ยังมั่นใจมั๊ยว่า ข้อความที่สื่อสารออกไป จะถูกต้องตรงกันเป๊ะๆ ... องค์กรยิ่งมีขนาดใหญ่และมีลำดับขั้นในการบริหารและบังคับบัญชาเยอะ ... จึงมักประสบปัญหาเช่นตัวอย่างที่ผมยกมา ดังนั้น เรา , ในฐานะส่วนหนึ่งขององค์กร , ก็ต้องรู้บทบาทและตำแหน่งของตัวเองให้ช...

Post#5-230: ยอมรับ vs สมเพช

Post#5-230: ลองคิดดูเล่นๆ มั๊ยครับ ... ว่าวันที่เราจะรู้สึกว่า เป็นที่ยอมรับสูงสุด คือวันไหน ? อีกคำถามนึงครับ ... แล้ววันที่เราจะรู้สึกน่าสมเพชที่สุดล่ะครับ คือวันไหน ? ออกตัวไว้ก่อนนะครับ ว่าคำเฉลยของผมเป็นเพียงความเห็นส่วนตัว ... ตอบเหมือนผม ก็ไม่ได้แปลว่า “ ถูก ” และตอบไม่เหมือน ก็ไม่แปลว่า “ ผิด ” ผมให้เวลาคิดคำถามละ 5 นาที เลยครับ ... สำหรับผมแล้ว ... วันที่เราจะรู้สึก เป็นที่ยอมรับมากที่สุด ... ก็น่าจะเป็นวันที่ “ ศัตรู ” ให้ความยอมรับและนับถือ ลงถ้านับใครเป็นศัตรู ก็ย่อมมีอคติต่อกันและกัน ... แปลว่า เราจะถูกมองในแง่ลบเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ถ้าศัตรูให้ความยอมรับ ว่าเรานั้นเก่งจริง , เจ๋งจริง หรือแน่จริง ... ก็ยิ้มให้กับตัวเองได้แล้วครับ ว่าเราคงมีดีพอตัว มีข้อแม้อย่างหนึ่งนะครับ ... ว่าก่อนจะกระหยิ่มว่าเราเจ๋งจริงๆ น่ะ ก็ต้องมั่นใจเสียก่อน ว่าศัตรูของเราต้องเจ๋งจริงๆ เพราะการได้รับการยอมรับจากศัตรูที่มีฝีมืออ่อนด้อย ... ย่อมไม่ยังประโยชน์อันใดให้เราเลย ... ส่วนคำเฉลยของคำถามอีกข้อนึงน่ะ ... พอจะเดาออกกันมั๊ยค...