Skip to main content

Post#5-226: ปรัชญาจากภาพถ่าย

Post#5-226:
เท่าที่ผมประเมินตัวเอง ผมคิดว่า ผมไม่มีพรสวรรค์เอาเสียเลยในเรื่องของการถ่ายภาพ...ไม่ทั้งในแง่ของคนถ่ายและคนถูกถ่าย

เอาจริงๆ ผมว่าการถ่ายภาพน่ะ ต้องอาศัยความเป็นศิลปินในตัว ไม่น้อยเลย...ที่แน่ๆ ก็คือไม่ใช่แค่กดชัตเตอร์ หรือแค่ชูสองนิ้วโพสต์ท่า

ภาพถ่ายของของคนที่ถ่ายรูปได้ กับถ่ายรูปเป็นนั้น แตกต่างกันแบบสุดขั้ว

ภาพถ่ายของคนที่โพสต์ท่าได้ กับโพสต์ท่าเป็น...ก็แตกต่างกันสุดๆ

...

ที่น่าดีใจคือ เราสามารถพัฒนาจากคนถ่ายรูปได้ ให้เป็นถ่ายรูปเป็น...ได้ไม่ยาก

ที่น่าเสียใจคือ แม้ว่าเราอาจจะถ่ายรูปเป็น ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะถ่ายทอดอารมณ์ของภาพ...ได้ด้วยเช่นกัน

เช่นเดียวกับศิลปะของการโพสต์ท่า...

พูดง่ายๆ ก็คือความเข้าใจน่ะ หัดกันได้...แต่ความเข้าถึงน่ะ อาจจะหัดกันยาก

...

ถ้าเปรียบเทียบกับการถ่ายภาพแล้ว...ผมก็อาจสรุปได้ว่า การทำงานใดๆ ด้วยใจรัก มักจะให้ผลลัพธ์ที่เราคาดไปไม่ถึงเสมอ

บ่อยครั้ง ที่ผู้รังสรรค์ผลงาน ก็อธิบายออกมาไม่ได้ ว่าสร้างงานนั้นได้อย่างไร...เพราะรู้ตัวอีกที ผลงานนั้น ก็ยอดเยี่ยมไปเสียแล้ว

งานต้นตำรับกับงานลอกเลียนแบบ ก็มักมีความใกล้เคียงกันในด้านรูปธรรม...แต่มักจะแตกต่างกันอย่างมาก ในด้านนามธรรม

...

ผลงานใดๆ ที่เราทำ...ก็ไม่ต่างกัน

งานที่ทำให้เสร็จๆ ไป จึงเทียบเคียงไม่ได้กับงานที่ตั้งใจทำให้เสร็จ

ดังนั้น...จงอย่าได้ลดคุณค่าในผลงานของตัวเอง ให้เป็นแค่ระดับของเลียนแบบ

...ทั้งๆ ที่เราอาจจะสร้างงานต้นฉบับของตัวเราเองได้ หากตั้งใจ มากพอ...

#NoteToSelf:

  • การส่งมอบงานที่แค่ทำส่งๆ...จึงเป็นการดูถูกวิชาชีพ, ไม่ให้เกียรติเจ้านาย และลดคุณค่าในตัวเราเอง
  • อย่าอ้างว่า ใครๆ ก็ทำงานแบบสุกเอาเผากินกันทั้งนั้น...เพราะมันเป็นคำอ้างของพวกขี้แพ้
  • ถ่ายภาพให้เสมือนเราเป็นตากล้องมือโปร และโพสต์ท่าเสมือนเราเป็นโมเดลมืออาชีพ...แล้วจะได้ไม่ต้องอับอาย เมื่อยากมองภาพถ่ายในมือ

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...