Skip to main content

Posts

Showing posts from March, 2015

Post#2-205: Hello Ho Chi Minh (1)

Post#2-205: วันนี้ผมพาทีมงานมาประชุมที่กรุงโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม จำได้ว่าผมมาเยือนประเทศนี้ครั้งแรกเมื่อกว่า 16 ปีมาแล้ว...นานพอที่จะทำให้นึกไม่ออกเลยว่า ความทรงจำที่เกี่ยวกับเวียดนามในครั้งนั้น มีเรื่องอะไรอยู่บ้าง แต่ที่จำได้แม่นยำที่สุดก็คือ ความสามารถในการขับขี่ยวดยานพาหนะร่อนไปบนท้องถนนของชาวไซ่ง่อน...จำได้ว่าผมตื่นตาตื่นใจมากกับการที่ได้เห็นกองทัพมอเตอร์ไซค์ปริมาณนับไม่ถ้วน ขี่ฉวัดเฉวียนเวียนวนประหนึ่งผึ้งแตกรัง มาวันนี้ กรุงโฮจิมินห์เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างที่เรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นเมืองที่ civilized สุดๆ...แต่ทว่าสภาพบนท้องถนนยังคงเป็นภาพเดิมๆ อยู่อย่างนั้น -"- ไม่ทราบเอาจริงๆ ครับว่า ตกลงถนนมันมีกี่เลนกันแน่ แต่ละคันเค้าคิดจะแซงก็แซง จะหยุดก็หยุด จะหักเลี้ยวหรือกระทั่งจะ u-turn ทุกคนก็ทำเสมือนว่าตัวชั้นนี้กำลังขับรถอยู่ในทุ่งกว้าง มีเพียงรถของชั้นอยู่แค่คันเดียวในโลก บางครั้งทั้งรถทั้งมอเตอร์ไซค์ก็ขับขี่สวนทางกัน แต่ต่างคันต่างก็รู้จังหวะรู้หน้าที่ ส่วนคนที่ข้ามถนนนั้น มีหน้าที่ข้ามก็ข้ามๆ ไปดิ เดินไปเรื่อยๆ ห้ามหยุดห้ามลังเล เดี๋ยวรถเค้าหักหลบให...

Post#2-204: ความทรงจำมีชีวิต

Post#2-204: ค่ำนี้ผมมีโอกาสดีที่ได้พาน้องๆ กลุ่มหนึ่งมาเลี้ยงขอบคุณ เป็นโชคดีที่บริษัทเล็กๆ ของผมและหุ้นส่วน ยังมีพนักงานที่น่ารักกลุ่มนี้ทำงานให้ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เราต้องต่อสู้หนักมาก และแน่นอนว่าผมคงฝ่ามรสุมไม่ไหว หากไม่มีน้องๆ กลุ่มนี้ support แม้ว่าเลี้ยงอาหารค่ำมื้อนี้ คงไม่อาจตอบแทนน้ำใจที่พวกเค้ามีต่อบริษัทฯ ได้ แต่อย่างน้อยผมก็อยากให้พวกเค้าได้รับรู้ว่า ผมรู้สึกขอบคุณและมองเห็นถึงความสำคัญของพวกเค้า บรรยากาศในการทานมื้อค่ำก็เป็นไปอย่างเฮฮาและสนุกสนาน ผลัดกันหยิกผลัดกันหยอก แซวกันไปอำกันมา เป็นค่ำคืนทึ่ควรค่าแก่การจดจำ ผมเชื่อว่า การที่เราได้มาใช้ชีวิตร่วมกับใครก็ตามที่ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน ให้ได้มาลำบากด้วยกัน หัวเราะและร้องไห้ไปด้วยกันนั้น มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันอาจเป็นพันธกิจพิเศษบางอย่างที่ฟ้าได้กำหนดไว้ ไม่มีใครล่วงรู้ได้...เราอาจจะได้มาพบกันเพียงช่วงสั้นๆ แล้วต่างก็ต้องลาจาก หรือเราอาจจะได้มีโอกาสทำงานร่วมกันอีกยาวนานไปนับสิบๆ ปี แต่สิ่งหนึ่งที่รู้ได้แน่ๆ ก็คือเราต่างต้องรวมพลังกันเพื่อทำให้เป้าหมายขององค์กรลุล่วง และเมื่อองค์...

Post#2-203: เมื่อฝนซา...ฟ้าก็เปิด

Post#2-203: เช้านี้ผมมีนัดไปตีกอล์ฟกับเพื่อนชาวต่างชาติคนหนึ่ง แต่ที่พิเศษมากๆ ก็เพราะมันเป็นการกลับไปตีที่สนามที่คุ้นเคยหลังจากไม่ได้กลับไปเกือบปี ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ไปตีกอล์ฟกับเพื่อน ทำให้ผมลืมที่จะเช็คสภาพอากาศไปซะสนิท...ผลน่ะหรือครับ ฝนตกหนักมาก -"- พวกเราก็ได้แต่นั่งมองหน้ากันไปมาอยู่เกือบชั่วโมงครึ่ง...รอเวลาให้เทวดาท่านเห็นใจ แล้วก็ได้ออกรอบในที่สุด แม้ว่าสนามจะเฉอะแฉะและเจิ่งนองไปด้วยน้ำ อีกทั้งยังมีสายฝนที่พรำ่พราย แต่พวกผมก็เล่นกอล์ฟกันด้วยอารมณ์ชื่นมื่นสุดๆ ตีไม่ดีก็ขำๆ ตีได้สวยๆ ก็เฮ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะสนามแฉะ ป่วยการที่จะไปเคร่งเครียดกับ score เราก็เล่นไปอย่างไม่เร่งร้อน ข้างหน้าไม่มีก๊วนให้ตาม ข้างหลังไม่มีก๊วนมาจี้ เป็นการกลับมาเล่นกอล์ฟครั้งใหม่อย่างไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาดไว้ตอนนั่งเซ็งรอฝน ใครที่กำลังเจอช่วงย่ำแย่ จิตตก ก็ขอให้ยิ้มไว้ครับ...ไม่แน่ว่าวันดีๆ อาจเกิดขึ้นหลังเรื่องร้ายๆ ผ่านพ้นไป เฉกเช่นเรื่องกอล์ฟที่ผมพึ่งผ่านมาเมื่อช่วงเช้านี้ก็เป็นได้ ผมเชื่อว่า ขอเพียงเรามีความอดทน ยิ้มสู้กับอุปสรรค แม้เจอฝนสาดพายุซัดเพียงใด หลังม...

Post#2-202: เชงเม้ง

Post#2-202: วันนี้ผมมีภารกิจในการพาคุณแม่ไปไหว้บรรพบุรุษประจำปี หรือที่ชาวจีนเชื้อสายไทยเรียกว่า "เชงเม้ง" (หรือ "เช็งเม้ง") ตำนานที่มาจริงๆ เป็นยังไงผมไม่ทราบแน่ จึงต้องอาศัย google เป็นแหล่งอ้างอิง...คิดแล้วก็กลุ้มเหมือนที่บ่นไว้ใน Post#2-162 เพราะหมดรุ่นแม่ผมไปแล้ว ผมคงกลายเป็นชาวจีนแค่หน้าตา ส่วนจารีตและธรรมเนียมจีนคงเลือนรางไปกับกระแสเวลาซะหมด เท่าที่สืบค้นมาได้ ตำนานเริ่มตั้งแต่ยุคชุนชิวนู่นเลยครับ เป็นยุคเก่าโบราณนานกาเลก่อนที่จิ๋นซีฮ่องเต้จะรวมแผ่นดินจีนซะอีก นัยว่าเป็นการระลึกถึงขุนนางผู้หนึ่ง ส่วนประเพณีการทำความสะอาดสุสานกว่าจะเริ่มก็ในสมัยพระเจ้าฮั่นโกโจสถาปนาราชวงศ์ฮั่นขึ้นแล้ว (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมกันเองนะครับ http://th.m.wikipedia.org/wiki/เทศกาลเช็งเม้ง) หลักๆ แล้วการไหว้เชงเม้งจึงถือเป็นการไปเยี่ยมเยียนปัดกวาดสุสานและทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ระลึกถึงบุญคุณที่ท่านชุบเลี้ยงและเป็นต้นตระกูลสืบทอดจนมีเราได้ในวันนี้ ลูกๆ หลานๆ ก็ช่วยกันปัดกวาดและประดับประดาสุสาน มีการเผากระดาษเงินกระดาษทอง และของกงเต็กต่างๆ ล่ะครับ ก่อนเผาก็จะมีการจุด...

Post#2-201: เยือนเวียงจันทน์

Post#2-201: ช่วงสายถึงหัวค่ำนี้ ผมพบตัวเองอยู่ที่กรุงเวียงจันทน์ เมืองที่น่ารักที่สุดแห่งหนึ่งที่เคยรู้จัก ประเทศ สปป.ลาวนี้ มีประชากรกว่า 7 ล้านคน ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างสำมะโนประชากรอยู่ แต่กว่าครึ่งหนึ่งของประชากรอาศัยอยู่ในกรุงเวียงจันทน์ สภาพทั่วไปของเวียงจันทน์ก็ไม่ต่างจากจังหวัดหัวเมืองที่เจริญแล้วของประเทศไทยเราเท่าไหร่นัก เรียกว่าถ้าไม่สังเกตป้ายตามท้องถนน เราก็ดูไม่ออกแน่ๆ ว่าอยู่นอกประเทศไทย แต่ที่น่าจะเป็นที่สบายใจที่สุดของคนไทยเวลามาเยือนที่นี่ก็คือ เราไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากนักก็เข้าใจภาษาของพี่น้องชาวเวียงจันทน์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น เรายังสามารถจับจ่ายซื้อสินค้าด้วยเงินไทยได้อย่างสบายๆ (แต่ว่าอาจจะได้รับเงินทอนเป็นเงินกีบนะครับ) ส่วนค่าเงินที่นี่ก็จะคล้ายๆ กันกับในกลุ่ม CLMV คือค่าเงินเฟ้อสูงมากๆ อย่างทานข้าวมื้อหนึ่งต่อคน ก็อาจจ่ายมื้อละ 120,000 กีบ (1,000 กีบก็ประมาณ 4 บาท) เวลาจ่ายเงินรู้สึกเป็นเศรษฐีชะมัดเลยครับ ^^ เท่าที่ได้พูดคุยและสัมผัส คนลาวนั้นมีความอ่อนน้อมอยู่มาก คำพูดคำจาก็ดูอ่อนโยน ไม่กระโชกโฮกฮาก อารมณ์ประมาณเราคุยกับคนเช...

Post#2-200: uniform เหมาเข่ง

Post#2-200: เป็นความจริงที่ว่า หลายๆ office ในเมืองหลวงของเรายังคงใช้ uniform ในที่ทำงาน ยิ่งถ้าเป็นโรงงานด้วยแล้ว เรียกได้ว่าไม่มีไม่ได้เอาเลยทีเดียว หันมองไปตามร้านค้าต่างๆ ในห้างสรรพสินค้า ร้อยละร้อยห้าสิบล้วนให้พนักงานใส่ uniform ในมุมหนึ่ง ผมเองก็เห็นดีที่มันเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย แสดงถึงความสมานสามัคคี แสดงถึงภาพลักษณ์ขององค์กร และวันหนึ่งหากองค์กรของผมเติบโตพอ ผมก็ฝันอยากจะมี uniform ให้พนักงานใส่อย่างภาคภูมิใจเช่นกัน แต่อีกมุมหนึ่ง คนที่ต้องใส่ uniform อาจไม่ได้คิดแบบเดียวกับผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการ... สำหรับผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการแล้ว uniform ที่มี logo ก็เปรียบเสมือนหน้าตา เป็นภาพลักษณ์ที่ต้องการสื่อให้สังคมรับรู้และชื่นชม แต่สำหรับพนักงานไร้ความรับผิดชอบบางคน เค้าแค่มอง uniform เป็นแค่เสื้อตัวหนึ่งหรือชุดๆ หนึ่ง ไม่ได้มีความภาคภูมิใจและหวงแหนชื่อเสียงของ logo ที่อยู่บน uniform นั้น แม้ว่าบางครั้งหมดเวลางานแล้ว ก็ไปแวะทำธุระปะปังหรือเรื่องส่วนตัวก็ตาม แต่ต้องดูว่า เราอยู่ใน uniform รึเปล่า? เรื่องส่วนตัวของเราหากเป็นไปในทางที่ไม่น่าชื่...

Post#2-199: เปลี่ยนวิธีถามดีกว่ามั๊ย?

Post#2-199: เย็นย่ำวันวาน ผมมีอันต้องไปทำธุระที่ธนาคารแห่งหนึ่ง... ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ปริมาณของผู้มาใช้บริการนั้น ทำให้อิดหนาระอาใจได้ไม่น้อยเลยครับ ไม่รู้ลูกค้ามาจากไหนแน่นไปหมด ผมสังเกตว่า เวลาไปธนาคาร ช่วงคนแน่นๆ ก็มักจะมีเจ้าหน้าที่เดินมาถามๆ ว่า "พี่มาทำอะไรคะ" แล้วพอเราบอกไปปั๊บ เธอก็จะเดินจากไปพร้อมกับทิ้งให้เรางงๆ ว่า "แล้วจะถามทำไม" ผมเข้าใจดีครับ ว่าเจ้าหน้าที่คงตั้งใจอยากจะช่วย ถ้าเป็นธุรกรรมเล็กๆ น้อยๆ ใช้เวลาไม่มาก เธอก็อาจจะเชิญลูกค้าออกจากคิวไปจัดการให้ได้ แต่การมาถามแล้ว ปล่อยลูกค้าให้งงๆ คือถามแล้วทิ้งไปดื้อๆ เนี่ย มันเป็นอะไรที่เสียมารยาทมากๆ และอาจสร้างความไม่พอใจให้กับลูกค้าโดยไม่ควรเลย ที่จริงเธอควรประกาศว่า "มีใครกำลังรอทำรายการ aa หรือ bb มั๊ยคะ?" แบบนี้คนที่จะทำรายการตรงกับที่เธอพอจะช่วยทำได้ จะได้แสดงตัว หรือกลัวว่าจะเอิกเกริก ก็แค่กระซิบถามว่า "พี่มาทำรายการ aa รึเปล่าคะ ถ้าใช่เชิญทางนี้ค่ะ" แบบนี้ก็น่าจะ ok อย่าลืมนะครับว่า ไม่ใช่ลูกค้าจะเข้าใจเจตนาของการถามได้ทุกคน อย่างผมเองเจอเข้ากั...

Post#2-198: คำถามชวนคุย

Post#2-198: เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมไปตัดผมมาครับ (แม้จะเหลือน้อย...แต่ก็ยังพอมีให้ตัดครับ) ระหว่างสระผม หูก็ได้ยินบทสนทนาของเตียงข้างๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งบางคำถาม ถ้ามาถามผมนี่ รับรองว่าโดนศอกกลับแน่ๆ บ่อยครั้งที่เรามักจะเจอคำถามบางประเภท ซึ่งถ้าฟังดีๆ ก็จะรู้ว่า เค้าแค่กำลังเปิดประเด็นชวนคุย ถามไปเรื่อยๆ จนบางครั้งคนถามก็ลืมคิดไปว่า สมควรถามรึเปล่า? อย่างเช่นคำถามที่พนักงานข้างต้นถามลูกค้า ลองอ่านตามดูครับ พนักงานสระผม: น้องมาที่นี่ครั้งแรกเหรอ ลูกค้า: ใช่ค่ะ พอดีเพิ่งเข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ (ไม่รู้จะบอกทำไม) พนักงานสระผม: มาเรียนอะไรล่ะ? ลูกค้า: มาเรียนหมอค่ะ พนักงานสระผม: อ๋อ ดีๆ แล้วอยากเป็นหมออะไรล่ะ  ลูกค้า: อืมมม ก็คงเป็นอายุรแพทย์ทั่วไปล่ะค่ะ พนักงานสระผม: ทำไมไม่เป็นหมอผ่าตัดล่ะ ขี้เกียจเหรอ? (มาแล้วครับ...ประโยคแบบไม่รู้จะพูดทำไม) หลังจากประโยคนี้ ผมก็ทำหูหนวกล่ะครับ เพราะรู้สึกว่า เป็นมลพิษทางการได้ยิน ... หรือเคยมั๊ยครับ สมัยเรียนมหา'ลัย เดินเข้าห้องสมุดแล้ว ไปเจอเพื่อนนั่งอ่านหนังสืออยู่ พอเราเข้าไปทักปุ๊บ ...

Post#2-197: เรามีข้อมูลไว้เพื่อ...?

Post#2-197: เมื่อครู่นี้เองครับ ผมได้มีโอกาสได้คุยกันสัพเพเหระกับผู้มีพระคุณท่านหนึ่ง ถึงเรื่องนั่น นู่น นี่ ตั้งแต่เรื่องทิศทางและแนวโน้มทางธุรกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ไปยันประเด็นเรื่องการบริหารข้อมูลเชิงธุรกิจ เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ โลกแคบลงจากความไวของข้อมูลข่าวสารที่เชื่อมโยงกันได้อย่างกว้างขวางและง่ายต่อการเข้าถึง นั่นหมายถึง เราอาจรู้ข้อมูลได้ใน 3 นาที ทั้งที่เมื่อก่อนอาจต้องใช้เวลานับปีในการค้นหาและรวบรวม ที่น่าเสียดายก็คือ ยิ่งข้อมูลได้มาง่าย เรายิ่งละเลยกับการใส่ใจ... สมัยก่อนที่เราจะมีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่พร้อมมูลแบบนี้ คนรุ่นก่อนที่ทำมาค้าขาย สามารถจดจำสินค้าที่ขายได้ทุกตัว รู้ว่าขายลูกค้าคนไหนมากน้อย รู้ว่าพนักงานคนไหนทำงานยังไง แบบไหน ข้อมูลมหาศาลที่ว่า ใช้ระบบ "จำ" เท่านั้น แต่เป็นการจำด้วยใจไม่ใช่แค่ท่องแล้วเก็บไว้ในสมอง ความน่าทึ่งของการจดจำรายละเอียดเหล่านี้ได้ ยังคงมีให้เห็นได้ในร้านของชำหรือร้านค้าในต่างจังหวัด โดยไม่นำพาถึงการต้องมาวางระบบ E...

Post#2-196: Buffet

Post#2-196: หนึ่งในมื้ออาหารที่เรารู้สึกว่า "คุ้มค่า" กับการจ่ายเงินที่สุด ต้องมี "Buffet" อยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ผมเองก็เหมือนคนส่วนใหญ่ที่รู้สึกว่า การไปหม่ำ Buffet นั้น มีข้อดีตรงที่ความหลากหลายและปริมาณของอาหารที่มีให้เราเลือกดูและเลือกชิมได้อย่างจุใจ และแน่นอนว่า เรามักวัดความคุ้มค่าหรือคุ้มราคาของมื้อนั้น จากปริมาณอาหารที่เราหม่ำเทียบกับค่าอาหารต่อหัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว แต่ละคนมีวิธีการหม่ำ Buffet ที่ต่างกัน และให้นิยามความคุ้มค่าที่ต่างกันแบบสุดขั้ว... บางคนเน้นอาหารแบบเดียว เรียกว่ามาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เดินตักอาหารได้ไม่เกิน 2 เที่ยว กระเพาะอาหารก็เต็มเอี้ยด ไม่มีที่เหลือพอสำหรับอาหารจานอื่นอีกเลย แต่บางคนก็จะเน้นความหลากหลาย หม่ำทุกอย่าง อย่างละนิดละหน่อย รวมๆ กันเข้าก็อิ่มได้เหมือนกัน ตรงนี้แหละครับ ที่เป็นตัวเทียบเคียงได้คร่าวๆ ว่าเราเป็นผู้มีรสนิยมในการใช้ชีวิตแบบไหน... หม่ำอาหารประเภทเดียว เน้นปริมาณอาหาร ก็เป็นประเภท Rifle คือเน้นๆ ชัดเจน ได้ภาพลึก แต่ถ้าหม่ำอาหารแบบหลากหลาย เน้นจำนวนประเภทอาหาร ก็เป็นประเภท Shor...

Post#2-195: นักเดินทาง vs คนพเนจร

Post#2-195: ขออนุญาตเริ่มต้น Post วันนี้ด้วยคำถามนะครับ... คำถามนั้นมีอยู่ว่า "นักเดินทาง" กับ "คนพเนจร" ต่างกันตรงไหน? เช่นเคยครับ ผมคงต้องขอให้ทุกท่านลองคิดตามดู...ไม่มีถูกหรือผิด เพราะมันเป็นแค่การแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างเรา ให้เวลา 5 นาทีพอมั๊ยครับ? ... ในมุมมองของผม แม้ทั้งคู่จะมีจุดเหมือนอยู่ที่การเดินทาง ต้องเคลื่อนที่ ต้องเคลื่อนไหว หากแต่จุดต่างที่ยิ่งใหญ่ของทั้งคู่ กลับเป็นเรื่องสำคัญที่เรารู้จักกันดีในนาม "จุดหมาย" ใช่แล้วครับ ทั้งคู่ต่างกันที่ความชัดเจนของปลายทาง ทั้งคู่ต่างกันที่เป้าหมายที่ต้องการจะไปให้ถึง คนพเนจร อาจจะเดินทาง 1,000 ลี้ แต่ไม่เคยรู้เลยว่า ตัวเองกำลังอยู่บนเส้นทางไหน เพราะไม่เคยรู้เลยว่ากำลังจะเดินทางไปไหน ไปทำอะไร และไปเพื่ออะไร นักเดินทาง แม้จะเดินทางแค่ Trip สั้นๆ แต่ชัดเจนเหลือเกินว่า กำลังจะไปไหน ไปทำอะไร และไปเพื่ออะไร ... ลองหันกลับมามองตัวเราเองดูครับ ในแต่ละวันที่ลืมตาขึ้นตื่นมาใช้ชีวิต รู้ตัวบ้างมั๊ยว่ากำลังทำอะไร เพื่ออะไร และมันนำเราไปสู่สิ่งใด ถ้าไม่รู้...แปลว่า เรา...

Post#2-194: Serious Amateur vs Perfunctory Professional

Post#2-194: ผมไม่แน่ใจว่า มีใครได้เคยลองแบบผมบ้างมั๊ย ในการสังเกตพฤติกรรมของคนรอบข้างทั้งที่บ้านและที่ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้องๆ หรือญาติๆ ที่เป็น Junior ทั้งหลาย คิดไปผมก็ทั้งขำและเศร้าใจ เพราะผมพบว่ามีน้องๆ และญาติๆ จำนวนไม่น้อยเลย ที่เอาจริงเวลาทำเรื่องเล่นๆ และเรื่อยเปื่อยเวลาต้องทำเรื่องที่จริงจัง หรือบางครั้งผมก็มักจะพบว่า คนบางคนทำงานอดิเรกแบบทุ่มเท แต่กลับทำงานเลี้ยงชีพแบบเอื่อยเฉื่อยเหลาะแหละ ... ก็แน่นอนว่า ทุกคนอยากมีชีวิตที่สบาย ไม่อยากต้องมานั่งเคร่งเครียดจริงจัง แต่ก็ต้องรู้จักพิจารณาให้ดีๆ ว่า เวลาไหนที่ควรทำตัวสบาย และเวลาไหนควรต้องเอาจริงเอาจัง คำว่าเอาจริงเอาจัง ไม่ได้แปลว่า เราต้องทำหน้าบูดอยู่ตลอดเวลานะครับ เราทำงานจริงจังในขณะที่หน้าเปื้อนยิ้มได้...ผมยืนยัน ... การที่เราทำงานอดิเรกแบบเอาจริงเอาจังนั้น มีการบัญญัติศัพท์ไว้แล้วว่า Serious Amateur แต่ทำงานเลี้ยงชีพแบบขอไปทีน่ะ...ผมขอบัญญัติเองว่าเป็น Perfunctory Professional ก็แล้วกันครับ โดยมากเรามักจะเจอคนที่เป็น Perfunctory Professional ในที่ทำงาน เอาเวลางานไปทำเรื่องส่วนตัว หรือ...

Post#2-193: Role Model

Post#2-193: ปกติแล้ว ผมก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่อปัญหาค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกัน แต่ วันนี้ทั้งวันผมยุ่งอยู่กับการแก้ปัญหาจนเหนื่อยใจ >_<" เรียกว่าตั้งแต่เดินเข้า office นี่ก็หัวกระไดไม่แห้งเลยครับ ลูกน้องเดินเข้ามาหาแต่ละเรื่องนี่ เป็นปัญหาระดับสติแตกเอาซะจริงๆ อย่างว่าล่ะครับ วันที่อะไรๆ ก็ไม่เป็นใจนี่ นานๆ มันก็จะมาเยี่ยมเราแบบนี่แหละ...เรียกว่ามาทดสอบใจเราว่าอึดพอมั๊ย? อดทนไหวเปล่า? ประมาณนั้น ... เวลาลูกน้องมาหาเราพร้อมกับปัญหาที่เค้าพยายามแล้ว แต่ไม่รู้จะแก้ยังไง คนที่เป็นนายต้อง "ยิ้ม" รับครับ อย่าใจเสียจนลูกน้องใจหายตาม ทั้งๆ ที่ผมเอง ในใจก็กลุ้มไม่แพ้พวกเค้า แต่ก็จำเป็นจะต้องสวมหน้ากาก "แปะยิ้ม" ให้พวกเค้าผ่อนคลายลงบ้าง ถ้าเราท้อ ลูกน้องถอยแน่ แต่ถ้าเรายังยิ้มสู้ อย่างน้อยพวกเค้าก็ยังรู้สึกว่ามีความหวัง...จากนั้น ผมก็ชวนพวกเค้าคุยหาทางแก้ปัญหา พร้อมทั้งแผนสำรองในกรณีที่แผนแรกล้มเหลว ในความเห็นของผมแล้ว ไม่มีอะไรเลวร้ายกว่า การที่ลูกน้องเห็นนายยอมแพ้โดยที่ยังไม่ได้ทดลองสู้...บางครั้ง ปัญหาที่หนักหนาก็กลับเบาบาง...

Post#2-192: Carrot&Stick

Post#2-192: เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมหัดให้ลูกขี่จักรยานสองล้อ หลังจากที่เธอกลัวๆ กล้าๆ ขี่แบบสี่ล้อมาตลอด ลูกสาวผมเล่น Kickboard ได้ไม่แย่ แต่กลับไม่กล้าขี่จักรยานสองล้อเอาซะเลย ซึ่งผมวิเคราะห์ว่า คงเป็นเพราะเธอกลัวที่จะล้ม ไม่เหมือน Kickboard ที่การทรงตัวทำได้ง่ายกว่า หลังจากใช้เวลาอยู่พักนึง เธอก็พอขี่ได้บ้าง แต่ก็ยังไม่มั่นใจ กล้าๆ กลัวๆ อยู่อย่างนั้น...ก่อนเลิกหัดขี่วันนั้น ผมบอกกับลูกว่า ผมได้สอนเบสิคให้แล้ว เหลือแต่เรื่อง "ความกล้า" เท่านั้น ที่สอนให้ไม่ได้ ว่าแล้วผมก็ตั้งเงื่อนไขให้ลูกว่า... ถ้าภายในวันอาทิตย์นี้ เธอขี่ได้อย่างคล่องแคล่ว ผมจะให้รางวัลเป็นตุ๊กตา 1 ตัว...เธอยิ้ม แต่ถ้าไม่ได้ ผมจะยึดตุ๊กตาที่เธอมีอยู่ ออกไป 1 ตัว เช่นกัน...เธอกลุ้ม ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือ เธอขี่ได้ภายใน 2 วัน คือขี่ได้เมื่อวานนี้ ... อะไรคือแรงผลักดันให้เธอทำได้อย่างรวดเร็ว? คำตอบย่อมเป็นการสร้างแรงกดดันที่พอเหมาะและตั้งรางวัลที่พอควร หรือที่เรามักเรียกกันว่า "Carrot&Stick" นั่นเอง ในชีวิตการทำงานนั้น มนุษย์เงินเดือนทั้งหลายมักจะเคยชินกับ Carrot คือเง...

Post#2-191: เกลียดขี้หน้า

Post#2-191: หลายวันก่อน มีลูกน้องผมคนหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ B นะครับ) มาขอลาออก... เหตุผลของคนลาออกนั้นน่าเห็นใจ แต่ไม่ควรแก่การยอมให้ลาออก เรื่องของเรื่องก็คือ B รู้สึกอึดอัดที่ต้องทำงานกับคนที่ไม่ชอบหน้าคนหนึ่ง ก็แค่นั้น ฟังดูอาจจะเหมือนเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่สำหรับผมมันเป็นเรื่องสำคัญ เพราะสิ่งที่ B เลือก เป็นสิ่งยืนยันว่า "คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก" ยังเป็นเรื่องจริง ... ว่ากันตามจริงแล้ว เหตุผลที่คนลาออก รองจากเรื่องหัวหน้างานแล้ว ก็คือเรื่องเพื่อนร่วมงานนี่แหละครับ อย่าลืมว่า เราใช้เวลาอยู่ที่ office นานกว่าอยู่ที่บ้าน ดังนั้น การต้องทนกับใครก็ตามที่ไม่ชอบขี้หน้า (และไม่ใช่ญาติโกโหติกา) น่ะ...มันก็เป็นเรื่องที่สร้างความรำคาญได้อย่างมาก คนที่เป็นนายทั้งหลาย ก็อย่ามองข้ามเรื่องแบบนี้ครับ บางครั้งนายมองว่าเป็นเรื่องหยุมหยิม แต่ลูกน้องมองว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย...เพราะมันเป็นเรื่องของมุมมองล้วนๆ ส่วนลูกน้องทั้งหลาย ก็ควรต้องพิจารณาโลกให้กว้างอีกนิด จะเลือกทำงานแต่กับคนที่ชอบขี้หน้า ผมเองทำงานมานาน ยังไม่รู้เลยว่า ที่ทำงานไหนจะเป็นแบบนั้น ...