Skip to main content

Post#2-195: นักเดินทาง vs คนพเนจร

Post#2-195:
ขออนุญาตเริ่มต้น Post วันนี้ด้วยคำถามนะครับ...

คำถามนั้นมีอยู่ว่า "นักเดินทาง" กับ "คนพเนจร" ต่างกันตรงไหน?

เช่นเคยครับ ผมคงต้องขอให้ทุกท่านลองคิดตามดู...ไม่มีถูกหรือผิด เพราะมันเป็นแค่การแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างเรา

ให้เวลา 5 นาทีพอมั๊ยครับ?

...

ในมุมมองของผม แม้ทั้งคู่จะมีจุดเหมือนอยู่ที่การเดินทาง ต้องเคลื่อนที่ ต้องเคลื่อนไหว หากแต่จุดต่างที่ยิ่งใหญ่ของทั้งคู่ กลับเป็นเรื่องสำคัญที่เรารู้จักกันดีในนาม "จุดหมาย"

ใช่แล้วครับ ทั้งคู่ต่างกันที่ความชัดเจนของปลายทาง ทั้งคู่ต่างกันที่เป้าหมายที่ต้องการจะไปให้ถึง

คนพเนจร อาจจะเดินทาง 1,000 ลี้ แต่ไม่เคยรู้เลยว่า ตัวเองกำลังอยู่บนเส้นทางไหน เพราะไม่เคยรู้เลยว่ากำลังจะเดินทางไปไหน ไปทำอะไร และไปเพื่ออะไร

นักเดินทาง แม้จะเดินทางแค่ Trip สั้นๆ แต่ชัดเจนเหลือเกินว่า กำลังจะไปไหน ไปทำอะไร และไปเพื่ออะไร

...

ลองหันกลับมามองตัวเราเองดูครับ

ในแต่ละวันที่ลืมตาขึ้นตื่นมาใช้ชีวิต รู้ตัวบ้างมั๊ยว่ากำลังทำอะไร เพื่ออะไร และมันนำเราไปสู่สิ่งใด

ถ้าไม่รู้...แปลว่า เราขาดเป้าหมายหรือขาดจุดหมาย

ถ้ารู้ แต่รู้สึกว่าชีวิตยังไม่ได้ก้าวไปไหน...แปลว่า เราอาจเลือกเส้นทางผิด

ถ้ารู้ แต่รู้สึกว่ายังก้าวเร็วไม่พอ...แปลว่า ความมุ่งมั่นยังบกพร่อง

...

ลองหันกลับไปมองอดีตที่ผ่านมา แล้วลองขีดเส้นเชื่อมต่อจุดต่างๆ หรือเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้นดูครับ

ถ้าขีดได้ แล้วเห็นเส้นทางที่เชื่อมโยงมาสู่จุดที่ยืนอยู่ในปัจจุบันได้ชัด...แปลว่า ที่ผ่านมาใช้ชีวิตได้ไม่เลวนัก และน่าจะรู้ได้ไม่ยากว่า อนาคตข้างหน้าควรจะต้องทำอะไรต่อไปบ้าง

ถ้าขีดได้ แต่เส้นทางโย้ไปเย้มา เดินหน้าแล้วถอยหลัง...แปลว่า เป้าหมายไม่ชัดหรือมีการเปลี่ยนเป้าหมายบ่อย ถ้าอายุยังน้อยก็ยังพอมีเวลา แต่ถ้าอายุเริ่มมากขึ้น ก็อาจถึงเวลาต้องมาดูตัวเองจริงๆ จังๆได้แล้ว

ถ้าขีดไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าแต่ละอย่างที่ทำมาเป็นแค่จุด แต่ละจุดหาความเชื่อมโยงใดๆ ไม่ได้เลย...แปลว่า เราเป็นหนึ่งในสมาชิกสมาคมคนพเนจรแห่งประเทศหลักลอย

...

ยังไม่สายไปสำหรับคนพเนจรผู้ไร้จุดหมาย เพราะชีวิตคนเรานั้น ไม่ได้วัดความสำเร็จกันที่เกิดมาแล้วนานเท่าไหร่ หากแต่วัดกันที่ "คิดได้เมื่อไหร่"

เมื่อคิดได้ มีเป้าหมายชัด...คนพเนจรอย่างผมเอง ก็กลายร่างเป็นนักเดินทางได้ในฉับพลันครับ ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...