Skip to main content

Post#2-187: ทุ่มเทแบบมืออาชีพ vs ทุ่มเทแบบเจ้าของ

Post#2-187:
หลายวันก่อนได้มีโอกาสคุยกับเจ้าของกิจการระดับพันล้านแห่งหนึ่ง เลยได้ข้อคิดที่น่าสนใจจากเจ้าของ ในด้านการรับผู้บริหารเข้าทำงาน มาแชร์ให้ฟังครับ

เจ้าของท่านนั้น (สมมติว่าชื่อพี่ A ก็แล้วกันนะครับ) เล่าว่า การจะรับผู้บริหารระดับสูงเข้ามาในองค์กรนั้น เค้าจะให้ความสำคัญกับเรื่อง "หัวใจของความเป็นเจ้าของ" มากกว่าเรื่องขีดความสามารถในการทำงาน

คนที่ทำงานไต่ระดับมาถึงตำแหน่งสูงๆ นั้น แม้จะไม่ได้เก่งแบบรอบด้าน แต่ต่างคนต่างก็มีความเก่งอยู่ในตัวไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่งอย่างแน่นอน...ก็แปลว่า ไต่เต้ากะนมาถึงระดับนี้แล้ว เรื่องความสามารถในงานก็คงเฉือนกันไม่เยอะ แต่ความทุ่มเททำงานเสมือนเป็นเจ้าของต่างหาก ที่ทำให้ผู้บริหารแต่ละคนต่างกันเยอะมาก

พี่ A เพิ่มเติมว่า ทุกครั้งที่จะรับตำแหน่งสูงๆ เข้ามา ก็จะต้องพิจารณาเรื่อง "ทัศนคติแห่งความเป็นเจ้าของ" เป็นหลักใหญ่เลย, รองๆ ลงมาก็จะเป็นเรื่องวิธีคิด แล้วก็เรื่องความเข้ากันได้กับองค์กร

แปลว่า เจ้าของกิจการระดับพันล้าน มักประเมินผู้บริหารระดับสูงที่ Entrepreneurial Attitude, Logical Thinking และ Corporate Chemistry มากกว่าเรื่องของ Working Competency

อ้อ! แต่ก็ไม่ใช่ว่านี่เป็นหลักตายตัวนะครับ พี่ A เพียงแต่แชร์มุมมองที่ในกลุ่มเพื่อนๆ ของแกเห็นตรงกันให้ฟังก็เท่านั้นเอง

หลังจากฟังมุมมองของพี่ A แล้ว ผมก็ประมวลผลได้ว่า ผู้บริหารระดับสูงที่ทำงานเก่งนั้น หาไม่ยาก แต่ผู้บริหารระดับสูงที่ทำงานทุ่มเทเหมือนเจ้าของนั้น หายากกว่า

พี่ A ยกตัวอย่างเปรียบเทียบว่า สมมติว่าได้มอบหมายให้ผู้บริหารท่านหนึ่งไปทำการเจรจาต่อรองกับคู่ค้า ถ้าเค้ากลับมารายงานว่า ที่ต่อรองมานั้นทำดีที่สุดแล้ว แปลว่า เค้าคือผู้บริหารมืออาชีพ แต่ถ้ากลับมารายงานว่า ได้เงื่อนไขมาแบบนี้ กำลังคิดหาวิธีที่จะต่อรองให้ดีขึ้นกว่านี้ แปลว่า เค้าคือผู้บริหารแบบเจ้าของ

สรุปง่ายๆ ก็คือ ผู้บริหารที่มีหัวใจแบบเจ้าของจะพยายามขวนขวายหาวิธีที่ดีกว่าดีที่สุดเสมอ...

วันหนึ่งหากต้องก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น เก่งงานอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องเด่นด้านความทุ่มเทเสมือนเป็นเจ้าของด้วยครับ...

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...