Skip to main content

Post#2-200: uniform เหมาเข่ง

Post#2-200:
เป็นความจริงที่ว่า หลายๆ office ในเมืองหลวงของเรายังคงใช้ uniform ในที่ทำงาน ยิ่งถ้าเป็นโรงงานด้วยแล้ว เรียกได้ว่าไม่มีไม่ได้เอาเลยทีเดียว

หันมองไปตามร้านค้าต่างๆ ในห้างสรรพสินค้า ร้อยละร้อยห้าสิบล้วนให้พนักงานใส่ uniform

ในมุมหนึ่ง ผมเองก็เห็นดีที่มันเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย แสดงถึงความสมานสามัคคี แสดงถึงภาพลักษณ์ขององค์กร และวันหนึ่งหากองค์กรของผมเติบโตพอ ผมก็ฝันอยากจะมี uniform ให้พนักงานใส่อย่างภาคภูมิใจเช่นกัน

แต่อีกมุมหนึ่ง คนที่ต้องใส่ uniform อาจไม่ได้คิดแบบเดียวกับผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการ...

สำหรับผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการแล้ว uniform ที่มี logo ก็เปรียบเสมือนหน้าตา เป็นภาพลักษณ์ที่ต้องการสื่อให้สังคมรับรู้และชื่นชม

แต่สำหรับพนักงานไร้ความรับผิดชอบบางคน เค้าแค่มอง uniform เป็นแค่เสื้อตัวหนึ่งหรือชุดๆ หนึ่ง ไม่ได้มีความภาคภูมิใจและหวงแหนชื่อเสียงของ logo ที่อยู่บน uniform นั้น

แม้ว่าบางครั้งหมดเวลางานแล้ว ก็ไปแวะทำธุระปะปังหรือเรื่องส่วนตัวก็ตาม แต่ต้องดูว่า เราอยู่ใน uniform รึเปล่า?

เรื่องส่วนตัวของเราหากเป็นไปในทางที่ไม่น่าชื่นชม  อาจทำให้คนอื่นที่ใช้ uniform ร่วมกับเราเดือดร้อนได้ เช่น จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าสมมติคุณ A เป็นพนักงานขับรถของบริษัท "ชัยคีรีเดินรถ" (ชื่อสมมตินะครับ เผื่อบังเอิญไปตรงของจริงเข้าโดยไม่ตั้งใจ) แล้วไปดื่มเหล้าเมาแล้วขับ โดนจับทั้ง uniform?

หากเป็นข่าวขึ้นมา ถามว่าความเชื่อถือของ "ชัยคีรีเดินรถ" ในสายตาของลูกค้าจะเป็นยังไง?

หรือเราจะรู้สึกยังไงที่เห็นพ่อครัวซูชิร้านที่เรากำลังจะเข้าไปทาน กำลังสูบบุหรี่ทั้งชุดพ่อครัว ต่อให้รู้ว่าเค้ากำลังอยู่ในช่วงพักก็เถอะ?

เวลาคนเค้าจะตำหนิ ก็จะว่า "วันก่อนอ่านข่าวมั๊ย เค้าว่าพนักงานขับรถของชัยคีรีเมาแล้วขับนะเธอ" ไม่เห็นมีใครพูดว่า นาย A เมาแล้วขับสักคน

เวลาเราเดินเข้าร้านซูชิ จะรู้สึกยังไงที่เห็นพ่อครัวคนนั้นกำลังปั้นซูชิให้เราอยู่?

ขณะใส่ uniform จึงต้องมีความสำรวมและรอบคอบมากเป็นพิเศษ เพราะความเป็นส่วนตัวของเราอาจทำให้ส่วนรวมต้องมัวหมองไปด้วยอย่างไม่น่าจะเป็น

ที่เค้าว่า "ปลาเน่าตัวเดียวทำให้เหม็นทั้งข้อง" น่ะ ก็เป็นแบบนี้นี่เองแหละครับ -"-

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...